ราคาน้ำมันดิบสหรัฐ ร่วง 2.24 ดอลล์ หลังสหรัฐเผยสต็อกเบนซินสูงเกินคาด
ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันพุธ(7ธ.ค.)ดิ่งลง 2.24 ดอลลาร์ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนม.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ปรับตัวลง 2.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2.18 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 2.9 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกัน สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 5.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากความวิตกว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อจะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย และจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าวเตือนว่าเงินเฟ้ออาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า
นอกจากนี้ นายไดมอนกล่าวว่า การที่เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดที่ 5% ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะสกัดเงินเฟ้อ
ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะดิ่งลงจากปัจจุบันที่ราว 79 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือเพียง 40 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ นายเอริค โรเบิร์ตสัน หัวหน้านักวิจัยระดับโลกของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานชื่อ "เรื่องเซอร์ไพรส์ของตลาดการเงินในปี 2566" หรือ "The financial-market surprises of 2023" โดยได้ระบุถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งตลาดได้มองข้ามไป
หนึ่งในเหตุการณ์ในรายงานดังกล่าวคือการที่ราคาน้ำมันจะทรุดตัวลง หลังจากที่พุ่งขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวในตลาด และการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวผันผวนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยได้ดิ่งลง 35% ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย.-28 พ.ย. แม้ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร (โอเปกพลัส) ประกาศลดกำลังการผลิต ขณะที่มีการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดก่อนหน้านี้
นายโรเบิร์ตสันระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยมากกว่าคาดในปีหน้า รวมทั้งการที่เศรษฐกิจจีนประสบความล่าช้าในการฟื้นตัว จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันทรุดตัวลงอย่างมากในหลายประเทศ
นอกจากนี้ หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้รับการแก้ไขผ่านทางการเจรจาจนส่งผลให้สงครามสิ้นสุดลง ก็จะทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลงราว 50% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะร่วงลงจากปัจจุบันที่ราว 79 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือเพียง 40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19