สับปะรด ‘ฉีกตา’ สร้างรายได้เสริมปีละ 2 แสน!
เกษตรกรคิดต่างใช้พื้นที่ว่างกลางร่องยางปลูกสับปะรดฉีกตารายแรกในตรัง สร้างรายได้ 2 แสนบาทต่อปี รสชาติหอมหวานอร่อย เป็นการจัดสรรพื้นที่ ให้คุ้มค่าอย่างเต็มที่ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ง้อราคายางตกต่ำ
นายนิกร ชิดเชื้อ เกษตรอำเภอวังวิเศษ พร้อมด้วยผู้สื่อข่าว ลงพื้นที่เยี่ยมชม แปลงสับปะรดฉีกตา ที่ปลูกแซมในพื้นที่ว่างกลางร่องยางพาราขนาดเล็กที่ยังไม่ครบอายุกรีด บนเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 6 บ้านพรุใหญ่ ตำบลอ่าวตง อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นแปลงสับปะรดฉีกตาของนายสายชลและนางปรีดา น้อย อายุ 55 ปี สองสามีภรรยา โดยอาชีพหลักของทั้งคู่คือ การทำสวนยางพารา
โดยนายสายชล ได้เก็บสับปะรดที่ตนเองปลูกให้เจ้าหน้าที่เกษตรและผู้สื่อข่าวได้ลองชิม ซึ่งเป็นสับปะรดฉีกตาสายพันธุ์เพชรบุรี แต่ละลูก มีน้ำหนักสูงสุด 2.5 กิโลกรัม เนื้อสีเหลือง รสชาติหอมหวาน อร่อย ในแต่ละปีจะเก็บผลผลิตประมาณ 3 ตัน หรือ 3,000 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 30 บาท มีรายได้ต่อปีร่วม 200,000 บาทเลยทีเดียว
นายสายชล บอกว่า เมื่อ 8 ปี ที่แล้วได้พันธุ์สับปะรดฉีกตามาจากจังหวัดน่าน เป็นสายพันธุ์เพชรบุรี หรือสับปะรดฉีกตา โดยขอแบ่งซื้อมาแค่ 10 หน่อ หน่อละ 20 บาท จากนั้นได้นำมาขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันปลูกสับปะรดฉีกตา จำนวน 6,000 หน่อ โดยแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ อายุ 1 ปี 4 เดือน จำนวน 2,000 หน่อ และ อายุ 3 เดือน จำนวน 4,000 หน่อ เพื่อได้ทยอยเก็บติดต่อกันจนหมด ปีนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ 200,000 บาทต่อปี และตอนนี้ ตนเองรู้สึกว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว 50% ส่วนรายได้พออยู่ได้ ดูแลไม่ยาก จากที่หวังว่าจะเป็นรายได้เสริมจากการทำสวนยางพารา แต่กลายเป็นรายได้งามต่อปี
เมื่อออกดอกอายุประมาณ 4 เดือนครึ่งก็สามารถเก็บผลผลิตได้ น้ำหนักแต่ละลูกเฉลี่ย 2-2.5 กิโลกรัม รสชาติหวานทานแล้วติดใจ โดยจะขายราคาส่งกิโลกรัมละ 25 บาท หากขายปลีกกิโลกรัมละ 30 บาท และตอนนี้ก็เริ่มมีขายออกเรื่อย ๆ ประมาณ 2,000 ลูก จำนวน 2 รุ่น คาดว่าผลผลิตออกต่อเนื่องจากนี้อีก 1 เดือน หากสนใจโทรสั่งได้ที่เบอร์ 093- 7507508
นายนิกร ชิดเชื้อ เกษตรอำเภอวังวิเศษ บอกว่า ในส่วนของสำนักงานเกษตรอำเภอวังวิเศษ ก็ได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ หันมาสนใจในเรื่องของพืชทางเลือกใหม่ ที่สามารถจะปลูกแซมในสวนยางพาราหรือปาล์มน้ำมันได้ ในช่วงที่พืชหลักยังไม่ได้รับผลผลิต ได้เน้นในเรื่องของรายได้ ของพี่น้องเกษตรกรโดยเฉพาะเอาพืชทางเลือกใหม่ เช่น สับปะรด ข้าวไร่ หรือพืชผักที่สร้างรายได้ โดยยกตัวอย่าง นายสายชล น้อย ซึ่งเกษตรกรรายนี้เป็นเกษตรหัวก้าวหน้า ซึ่งได้นำสับปะรดฉีกตาพันธุ์เพชรบุรี เป็นสับปะรดที่สามารถปลูกได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และปลูกง่ายด้วย ในสภาพทนแล้ง ซึ่งสับปะรดพันธุ์นี้สร้างรายได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เพราะภาคใต้ส่วนใหญ่จะเน้นปลูกสายพันธุ์ภูเก็ต สายพันธุ์ปัตตาเวีย แต่เกษตรกรรายนี้ ได้รวบรวมหน่อพันธุ์ไว้ประมาณ 8 ปี และขยายปลูกเพิ่มขณะนี้เกือบ 2 ไร่ ซึ่งผลผลิตปีที่แล้วได้ประมาณ 3 ตัน ขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งหากสายพันธุ์นี้ปลูกในภาคเหนือจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 50-60 บาท และเกษตรกรรายนี้เป็นเกษตรกรรายใหม่ และเปิดตลาดใหม่ในพื้นที่สภาพของจังหวัดตรัง ที่ยังไม่มีผลผลิตของสายพันธุ์นี้ในจังหวัดตรัง ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของเกษตรกรที่สนใจที่จะปลูกเป็นพืชที่ปลูกแซมในสวนยางพาราสามารถที่จะสร้างรายได้ โดยจัดสรรพื้นที่ ให้คุ้มค่าอย่างเต็มที่ และสามารถพึ่งพาตนเองได้