จับตาตลาดเอเชียกลางและนอร์ดิก “ตัวช่วย”ดึงตัวเลขส่งออกไทยปี 66
พาณิชย์ วางแผนเดินหน้าลุยขับเคลื่อนกิจกรรมผลักดันส่งออกเต็มสูบ จับตาไฮไลท์เจาะตลาดใหม่ ”ตลาดเอเชียกลางและนอร์ดิก” ปูทางการค้าไทยเพิ่ม
กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ภายใต้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนด้านพาณิชย์ หรือกรอ.พาณิชย์ตั้งเป็นขยายตัวของการส่งออกในปี 2566 ไว้ที่ 1-2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 หลังจากยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ การเปิดเส้นทางรถไฟลาว-จีน ตลอดจนค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และข้อกังวลเรื่อง Food Security ของประเทศต่างๆ ส่งผลบวกต่อการส่งออกสินค้าอาหารของไทย
โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะแม่งานหลักในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออก ได้วางเป้าหมายกิจกรรมผลักดันการส่งออกไว้ที่ 450 กว่ากิจกรรม จะเร่งรัดจัดกิจกรรมใน 4 ตลาดศักยภาพ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ CLMV และจีน โดยจะจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ ทั้งการจัดงานแสดงสินค้าไทย คณะผู้แทนการค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ผลักดันค้าขาย
นอกเหนือจากกิจกรมในตลาดศักยภาพแล้ว ยังได้วางแผนลุยตลาดเอเชียกลางและนอร์ดิก ซึ่งไทยและประเทศเหล่านี้ยังมีการค้าระหว่างกันน้อยมาก ทั้งที่ตลาดเอเชียกลางและนอร์ดิก มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง
ตลาดเอเชียกลาง 5 ประเทศ ประกอบด้วยประเทศ คาซัคสถาน อุซเบกิซสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิซถาน ซึ่งจะนำร่องนำร่องจัดกิจกรรมกับประเทศคาซัคสถาน เป็นประเทศเทศแรก โดยมูลค่าการค้าระหว่างกันโดยเฉลี่ยยังไม่มากนักที่ 207 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 41 % โดยไทยส่งออก 99 ล้านดอลลาร์ แต่มีศักยภาพด้านการค้ากับไทยมากที่สุดในเอเชียกลาง
ล่าสุดในปี 2565 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 136 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 98 % ไทยส่งออก 61 ล้านเดอลลาร์ เป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในกลุ่มประเทศ CIS ซึ่งคาดว่าปีนี้ GDP ขยายตัว 4.4% โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศวางเป้าว่า จะใช้ประเทศคาซัคสถานเป็นฮับ( hub) กระจายสินค้าไปยังประเทศในเอเชียกลาง
แผนงานกิจกรรม ในปี 2566 นั้น จะมีการจัดสัมมนาให้ความรู้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการไทยในการดำเนินธุรกิจกับคาซัคสถาน ในงาน Central Asia Business Forum 2023 และ ร่วมกับกลุ่ม Kazakh Thai Alliance (KTA)
โดยส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเจรจาธุรกิจและร่วมงาน Thailand Festival 2023 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย. 2566 ณ MEGA MALL เมืองอัลมาตี้ ประเทศคาซัคสถาน ไปยังกลุ่มผู้ส่งออกของไทย เพื่อเป็นโอกาสในการเจาะตลาดคาซัคสถานและเอเชียกลาง ผ่านการเข้าร่วมแสดงสินค้าและกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจในงานดังกล่าว ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและธุรกิจบริการชั้นนำของไทยที่หลากหลาย ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ผักและผลไม้ บรรจุภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม อุปกรณ์ทางการแพทย์
นอกจากนี้จะเชิญผู้นำเข้าคาซัคสถานร่วมกิจกรรม Online Business Matching โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อาหาร และผลิตภัณฑ์ฮาลาลและจัด In-store Promotion กับซูเปอร์มาร์เก็ตขั้นนำในคาซัคสถาน เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ และ กระตุ้นความต้องการบริโภคสินค้าไทยของผู้บริโภคท้องถิ่นให้ขยายตัว
ทั้งนี้สินค้าที่มีความต้องการสูงและเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทารก และเด็กเล็ก และของเล่นสำหรับเด็ก เป็นต้น และ ธุรกิจบริการร้านอาหารไทยถือว่ามีอนาคตที่สดใสและเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการไทยด้วยยังไม่มีคู่แข่งมากนัก
สำหรับตลาดนอร์ดิก 5 ประเทศ ประกอบด้วยประเทศเ ดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน จะมีการโดยตลาดนอร์ดิกเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดอีกแห่ง รายได้เฉลี่ยต่อหัว 68,950 ดอลลาร์สต่อปี ในปี 2565 การค้าระหว่าไทย-นอร์ดิกส์มีมูลค่ารวม 3,774.48 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.8 % โดยไทยส่งออกไปยังนอร์ดิกส์รวม 1,423.09 ล้านดอลลาร์ สินค้าที่ส่งไปสำคัญๆได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เหล็ก แผงวงจรไฟฟ้า คาดการณ์ GDP ของกลุ่มนอร์ดิกส์ ขยายตัว 1.3% ซึ่งวางเป้าว่าจะให้เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไทย (Logistic Hub) ไปสู่สหภาพยุโรป
ส่วนแผนงานกิจกรรม ในปี 2566 ประกอบด้วย 1.กิจกรรมบุกตลาดนอร์ดิก เพื่อขยายตลาดสินค้าอาหาร ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ สินค้า BCG โดยนำคณะผู้ประกอบการไทยเดินทางไปเจรจาการค้า
2. เชิญผู้นำเข้านอร์ดิก ร่วมกิจกรรม Online Business Matching โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อาหาร เกษตรอินทรีย์ ของใช้ของตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์ และ BCG เป็นต้น
3. สานต่อการจัดกิจกรรม In-Store Promotion ร่วมกับห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในนอร์ดิก
ถือได้ว่า ทั้ง 2 ตลาดถือเป็นไฮไลท์ของปีนี้ที่จะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกของไทยให้ได้ไม่มากก็น้อย และยังจะเป็นการปูทางเพิ่มการค้าระหว่างไทยและทั้ง 2 ตลาดในอนาคตอีกด้วย