พาณิชย์ลงนามมินิเอฟทีเอไทย-เซินเจิ้น ตั้งเป้า 2 ปีดันมูลค้าการค้าเพิ่ม 5%
“จุรินทร์” เป็นสักขีพยาน พาณิชย์เซ็นมินิเอฟทีเอ ฉบับที่ 7 “ไทย-เซินเจิ้น” หวังดันมูลค่าการค้าระหว่างกันภายใน 2 ปี เพิ่ม5 % มูลค่าแตะ9 หมื่นล้านบาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดีในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเซินเจิ้น(CCPIT Shenzhen) ร่วมกับนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูต(ที่ปรึกษา) ฝ่ายการพาณิชย์ของจีน
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีความร่วมมือเขตเสรีทางการค้าหรือเอฟทีเอทั้งหมด 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และมินิเอฟทีเอ( mini FTA) อีก 6 ฉบับ ประกอบด้วย โคฟุ ปูซาน คยองกี เตลังกานา และของจีน 2 ฉบับ คือ ไห่หนานและกานซู่ โดยวันนี้ได้ลงนามมินิเอฟทีเอกับเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นฉบับที่ 7 และมีมินิเอฟทีเอที่จะลงนามในเร็วๆนี้คือ เมืองยูนนาน นอกจากนี้ยังมีมินิเอฟทีเอที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการอีก 5 ฉบับกับรัฐของประเทศอินเดีย รวมกับสหราชอาณาจักรและปากีสถาน ถ้าประสบความสำเร็จจะเข้ามาช่วยเสริมเอฟทีเอได้ ในเชิงลึก
“เมืองเซินเจิ้นมีจีดีพีเกือบเท่าไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนที่เป็นรูปธรรมที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง เป็นเมืองยุทธศาสตร์เชื่อมมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกงและมาเก๊า เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (Greater Bay Area) เป็นที่รวมของธุรกิจใหม่ ที่รวมของนวัตกรรม เทคโนโลยีและเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจีน จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้มหาศาลในอนาคต”นายจุรินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ในปี 2565 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเซินเจิ้น มีมูลค่า 868,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าร่วมกันหลังมีมินิเอฟทีเอ ภายใน 2 ปี(2566-2567)จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% หรือเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท รวมเป็น 910,000 ล้านบาท โดยมินิเอฟทีเอนี้จะเป็นกลไกสำคัญเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันเศรษฐกิจของไทยและจีนให้เจริญก้าวหน้า