‘พรหมินทร์’ ชู 4 นโยบายเศรษฐกิจ ‘เพื่อไทย’ หวังปั้น GDP โตปีละ 5%
ผ่าขุมกำลัง “ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย” ระดมมือดี ประสบการณ์แน่นทั้งนักเศรษฐศาสตร์ อดีตที่ปรึกษานายกฯ นโยบายเศรษฐกิจสู้ศึกเลือกตั้ง “พรหมินทร์” ชู 4 นโยบายปั้นจีดีพีโต 5% ต่อปี เปิด 4 พื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ชูบีโอไอพลัส เน้นเพิ่มรายได้ท่องเที่ยว – เกษตร สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง
การเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึงในเดือน พ.ค.ปีนี้ทุกพรรคการเมืองต่างเร่งหาเสียงด้วยนโยบายเศรษฐกิจ รวมทั้งระดมผู้มีความรู้ ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจเข้ามาในพรรคการเมืองเพื่อจัดทำนโยบายที่จะใช้แข่งขันบางพรรคมีการเปิดตัว “ทีมเศรษฐกิจ” ขณะที่บางพรรคทีมเศรษฐกิจ นั้นขอทำงานอยู่ด้านหลังไม่ได้เปิดตัวออกมาต่อสาธารณะชน
“พรรคเพื่อไทย”ซึ่งเป็นพรรคใหญ่และได้รับการจับตาเป็นอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้เข้าสู่สนามการเลือกตั้งด้วยชุดนโยบายเศรษฐกิจที่ทยอยเปิดตัวออกมาเป็นระยะๆ รวมทั้งล่าสุดได้มีการเปิดตัว “คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ” ของพรรค โดยมีคำสั่งแต่งตั้งที่ชัดเจนเมื่อต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาโดยระบุว่า “เนื่องจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างกว้างขวาง จึงสมควรให้มีการระดมสมอง วิเคราะห์ปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
พรรคจึงแต่งตั้ง “คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ” โดยในคณะกรรมการชุดนี้ได้เห็นกลุ่มคนที่เคยมีบทบาทในด้านเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น บุคลากรที่เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการฯประกอบไปด้วย พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจ และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายสำคัญในหลายรัฐบาล เช่น นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ทักษิโณมิกส์” และนโยบายรถไฟความเร็วสูงในการจัดทำ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ก่อนหน้านี้ได้รับการแต่งตั้งให้นั่งที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย “แพทองธาร ชินวัตร”โดยการลงสนามการเมืองครั้งนี้ถือว่าเป็นการชิมลาง เล่นการเมืองครั้งแรกโดยเศรษฐาได้รับการคาดหมายว่าเป็นหนึ่งในแคนดิเนตนายกรัฐมนตรีของพรรค
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์แถวหน้าของประเทศ ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เมอร์ริลลินช์ภัทร จำกัด ส่วนด้านการเมืองได้เข้าร่วมกับ “กลุ่มCare” ก่อนหน้านี้ในปี 2540 เคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองนายทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในช่วงปี 2544 เคยเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงินคลัง ในช่วงที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็น รมว.คลังในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตผู้แทนการค้าไทย อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เคยทำงานใกล้ชิดกับ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี 2556 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยดร.ปานปรีย์ได้รับการวางตัวให้เป็นมือเจรจาเขตการค้าเสรี และเศรษฐกิจต่างประเทศหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
นอกจากนี้ในคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยยังมีบุคคลที่เคยทำงานในตำแหน่งสำคัญๆในหลายรัฐบาล เช่น น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการคณะกรรมการฯ โดยในอดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ
กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และอดีตรมว.คลังในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านเกษตรสมัยใหม่ และ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยและผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย เป็นต้น
“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคที่ใช้สู้ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้
น.พ.พรหมินทร์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจยังสั่งสมอยู่มาก จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยแทบจะเติบโตได้ต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และความสามารถในการแข่งขันของประเทศเราลดต่ำลงในหลายๆด้าน
นอกจากปัญหาเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังเกิดขึ้นในบริบทที่โลกมีความขัดแย้งของ “สงคราม” ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และสงครามในรูปแบบจริงๆระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่สำคัญมาก
หน้าที่ของพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลคือ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยท้าทายจากปัญหาภายในและภายนอกรัฐบาลใหม่ต้องทำงานเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งการแก้ปัญหา และการส้รางโอกาสใหม่ๆของประเทศในการเพิ่มรายได้ให้เกิดขึ้น
พรรคเพื่อไทยชูการสร้างรายได้
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีการพูดเรื่องการสร้างรายได้เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยหลักการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ตั้งเป้าเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ขยายตัวปีละไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี โดยมีนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ 4 ด้านคือ
1.นโยบายเขตธุรกิจใหม่ (new business zone)โดยต้องใช้ประโยชน์จากความพร้อมของไทยในการดึงการลงทุน โดยขณะนี้สิ่งที่ไทยทำได้ดีคือการวางบทบาทบนเวทีโลกไม่เอนเอียงไปกับมหาอำนาจที่เป็นคู่ขัดแย้ง ตอนนี้เราเป็นมิตรกับทั้งยูเครนและรัสเซีย ขณะเดียวกันเราก็เป็นมิตรกับสหรัฐและจีน ดังนั้นต้องอาศัยประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อสร้างรายได้
“วิธีคิดไม่ใช่แค่คิดในกรอบเพราะเม็ดเงินต่างๆ มาจากการมีพันธมิตรที่ดี เพราะสันติภาพเป็นต้นทุนของเศรษฐกิจที่ต้องสร้างการลงทุน”
สำหรับในระยะสั้น (Quick Win) พื้นที่เขตธุรกิจใหม่จะดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่ นำร่อง 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา (อ.หาดใหญ่) โดยจุดสำคัญของการดึงการลงทุนคือการทลายกำแพงของกฎหมายที่เป็นอุปสรรคการค้า โดยจะนำกฎหมายการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอมาปรับแก้ใหม่เป็น “บีโอไอพลัส” เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้สาเหตุที่เลือกพื้นที่ 4 จังหวัดนี้เพราะเป็นเมืองที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน ถนน รวมทั้งมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะและสนับสนุนการลงทุนด้านนวัตรกรรม(Innovation) และเป็นพื้นที่ให้บริษัทสตาร์ทอัพ (Start up หรือ SME) ได้มาเจอกัน และยังเป็นการดึงกลุ่มที่ทำงานด้านดิจิทัลซึ่งสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยนโยบายนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัว และทำให้แรงงานในไทยสามารถเพิ่มสกิลดิจิทัลมากขึ้น
2.นโยบายด้านการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคนต่อปี เพื่อช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากรายได้ภาคการท่องเที่ยวในปี 2562 ในช่วงก่อนที่จะมีโควิด-19 ซึ่งไทยเคยมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย 2 ล้านล้านบาท หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลรายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลา 4 ปี
โดยส่วนสำคัญที่จะต้องทำคือการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกในสนามบิน รวมทั้งเร่งเจรจากับต่างประเทศในการยกเลิกหรือผ่อนปรนให้เดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องใช้วีซ่าเพื่อแก้ปัญหาด้านการเดินทางเข้าประเทศไม่ให้มีความล่าช้า
“การท่องเที่ยวถือว่าเป็นประตูรับเงินจากต่างประเทศและกระจายเงินได้เร็วที่สุด ปี 65 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 11 กว่าล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่ากลับมาเร็วเกินคาด ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยให้ได้ 60 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท หรือรายได้เพิ่มขึ้น 50% จากปี 62” น.พ.พรหมินทร์ กล่าว
3.นโยบายด้านการเกษตร พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มรายได้เกษตรกรให้ได้ 3 เท่า ภายในระยะเวลา 4 ปีที่ได้เป็นรัฐบาล โดยกุญแจสำคัญคือการหาตลาดและการใช้นวัตกรรมในพื้นที่เกษตร รัฐบาลจะต้องช่วยหาตลาดให้ และให้เกษตรกรผลิตในสิ่งที่ตลาดต้องการ รวมทั้งเข้าไปช่วยปรับวิธีคิดเชิงธุรกิจ นำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร การปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เพื่อเกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตได้มากขึ้นด้วย
ส่วนนโยบายด้านปศุสัตว์ที่จะหาตลาดโคเนื้อคุณภาพให้กับเกษตรกรโดยจากการสำรวจพบว่าในหลายประเทศมีความต้องการเนื้อคุณภาพดีจำนวนมาก ปัจจุบันคนไทยเลี้ยงวัวอยู่แล้ว 1.9 ล้านครัวเรือน ซึ่งวันนี้เลี้ยงเป็นกระปุกออมสิน เลี้ยงตามมมีตามเกิด ถ้าหากว่าเรามีตลาดใหญ่ ศักยภาพเราสามารถทำโคขุนได้ ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับภาคการเกษตรได้เป็นอย่างมาก
ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่าการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากปัจจุบันภาคการเกษตรมีสัดส่วนต่อจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 8% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท ใช้ประชากรถึง 40% และใช้พื้นที่ของประเทศในภาคการเกษตรกว่า 43% นอกจากนั้นรัฐบาลังต้องเพิ่มเงินสนับสนุนปีละ 150,000 – 200,000 ล้านบาท เพื่อไปแก้ปัญหาต่างๆ ภาคการเกษตร แต่เกษตรกรยังก็เป็นหนี้เฉลี่ย 260,000 บาทต่อครัวเรือน
“หากสามารถเพิ่มรายได้เกษตรได้ตามเป้าหมายคือ 3 เท่าใน 4 ปีจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 2.8 ล้านล้านบาท ซึ่งรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น ทำให้เกิดผลดีต่ออุตสาหหกรรมอื่นๆตามมา เนื่องจากคนขายของขายได้มากขึ้น เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น รัฐจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม”
ส่วนคำถามว่านโยบายในภาคเกษตรจะใช้นโยบายจำนำ หรือประกันสินค้าเกษตรนั้น ยังไม่สามารถตอบได้แต่ยืนยันว่ามีนโยบายที่ดีกว่าทั้งสองรูปแบบคือดีกว่าประกันและจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำควบคู่กับการพักหนี้เกษตรกรในระยะแรก โดยพรรคเพื่อไทยจะเปิดตัวชุดนโยบายการเกษตรอีกครั้ง
4.นโยบายหนึ่งครอบครัว หนึ่งศักยภาพซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power) โดยนโยบายนี้เกิดจากการที่พรรคเพื่อไทยมองเห็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของคนในทุกครอบครัว หากสมาชิกของครอบครัว 1 คน ได้รับการฝึกฝนทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่มีพรสวรรค์และมีความถนัดก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้ และเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ
โดยการสนับสนุนต้องทำตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด จนถึงระดับประเทศ รวมทั้งในสถาบันอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนกว่า 800 แห่ง เมื่อเห็นศักยภาพที่เด่นชัดจะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาไปฝึกอบรมทักษะระดับโลกต่อในต่างประเทศ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสร้างงานได้กว่า 20 ล้านตำแหน่งสามารถ สร้างรายได้เฉลี่ยได้ถึง 200,000 บาทต่อครัวเรือน
“การฟื้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ โดยพรรคเราเป็นพรรคที่พูดเรื่องการสร้างรายได้ชัดเจน ขณะที่พรรคอื่นๆ พูดเรื่องการจ่ายแจกอย่างเดียว ทั้งนี้นโยบายดีๆใครก็คิดได้ แต่พรรคที่พูดแล้วจะทำได้ก็คือพรรคเพื่อไทย เพราะเคยทำมาแล้วและมีผลงานที่ชัดเจนในอดีต” น.พ.พรหมินทร์กล่าวทิ้งท้าย