'อนุชา' นั่งรักษาการ รมว.อุตฯ เร่งดันศูนย์กลางผลิต EV
“อนุชา” นั่งรักษาการแทน รมว.อุตฯ สั่งเดินหน้างานค้างท่อ ดันมาตรการแต้มต่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) การเฝ้าระวังโรงงานไม่ให้เกิดปัญหาปนเปื้อนกระทบชุมชน พร้อมมอบนโยบายเร่งสร้างกำลังซื้อให้เศรษฐกิจฐานราก หนุนกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพโตได้
วันที่ 22 มี.ค. 2566 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางเข้าสักการะไหว้พระภูมิเจ้าที่ พระนารายณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำกระทรวงอุตสาหกรรมวันนี้ เวลา 14.30 น.
โดยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายอนุชา เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นไปตามปกติ โดยจะผลักดันให้งานที่ค้างอยู่ 9 โครงการเร่งด่วนสามารถดำเนินต่อไปได้ ประกอบด้วย
1.การปรับปรุงกฎหมายของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) รวมทั้งมาตรการรองรับที่จะป้องกันการปนเปื้อนของโรงงานไม่ให้เกิดความกังวลต่อชุมชนโดยรอบเหมือนในกรณีซีเซียน 137 ขึ้นอีก
2. มาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบเผาอ้อยไฟไหม้
3.การจัดการกากอุตสาหกรรม ให้เกิดกลไกเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการผลักดันให้นำทรัพยากรจากภาคการผลิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. การผลักดันมาตรฐานยูโร 6 สำหรับรถเครื่องยนต์สันดาป ตามมาตรฐานโลก รวมทั้งมาตรการสร้างแต้มต่อการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ให้ไทยเป็นฐานการผลิตของภูมิภาค
5. ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการทดสอบรถอีวีของภูมิภาค สนับสนุนอีโคซิสเต็มของการผลิตรถอีวีในประเทศ
6. เดินหน้านโยบาย iSingle Form ทรานส์ฟอร์มการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐเข้าสู่ระบบดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการดำเนินการ รวมทั้งสร้างความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูลของภาคอุตสาหกรรม
7. มาตรการทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพให้สามารถเติบโตได้แและเป็นกลไกหลักในการผลักดันเศรษฐกิจ โดยต้องวิเคราะห์เจาะลึกถึงปัญหาของผู้ประกอบการ เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด เนื่องจากยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อีกหลายรายที่ยังประสบปัญหาอยู่เป็นจำนวนมาก
8. การบูรณาการร่วมกับกองทุนหมู่บ้านในการสนับสนุนการเกษตรอุตสาหกรรมระดับจังหวัดต้นแบบ โดยจะนำนโยบายเงินบาทแรกของแผ่นดิน ช่วยเกษตรหลุดพ้นความยากจน
9. การขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงร่วมกับเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์และสื่อมวลชน
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายนโยบายให้กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์เทรนด์โลกในอนาคต โดยเฉพาะด้านด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยกระทรวงจะต้องทำงานร่วมกันภาคเอกชนในการร่วมกันผลักดันให้จีดีพีภาคอุตสาหกรรมสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
“ผมกำชับในเรื่องการส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มกำลังซื้อของตลาดในประเทศ โดยจะต้องมาพูดคุยกันว่าจะมีวิธีการทำได้อย่างไรบ้าง สำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพที่มีเปอร์เซ็นในการประสบความสำเร็จน้อย ซึ่งมีปัญหาใหญ่อยู่ที่กำลังซื้อ ทั้งนี้กำลังซื้อส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเกษตรกร จึงต้องไปค้นว่าจะเพิ่มกำลังซื้อกลุ่มนี้ได้อย่างไร เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่ม หาตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มผลผลิต พัฒนาเกษตรกรหรือเพิ่มการส่งเสริมปศุสัตว์ โดยทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี แบงก์) ต้องเข้าไปช่วยดู”