'พลังงาน' แจงสูตรขั้นบันได ชี้ใช้เยอะจ่าย 'ค่าไฟแพง' ย้ำสำรองไฟปัจจุบัน 36%
ปลัดพลังงาน แจงสูตรค่าไฟขั้นบันได ใช้เยอะยิ่งแพง ย้ำสำรองไฟจำเป็น ปัจจุบัน 36% ไม่นับรวมพลังงานทดแทน ชี้ต้นทุนค่าไฟแพงตั้งแต่ปี 65 จากผลิตก๊าซอ่าวไทยขาดช่วง-สงคราม ลุ้นบอร์ด กกพ. เคาะลดค่าไฟอีกครั้ง 25 เม.ย. 66 อาจต้องเปิดประชาพิจารณ์ต่อ
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาค่าไฟแพงช่วงหน้าร้อนว่า ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนพบว่า ค่าไฟแพง ขึ้นในเดือนเม.ย. 2566 เนื่องจากเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ทำให้การใช้พลังงานโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศใช้กำลังไฟมากขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิให้ปกติ ซึ่งการคำนวนค่าไฟฟ้ายังอยู่ในอัตราเดิมคือ 4.72 บาทต่อหน่วยสำหรับกลุ่มครัวเรือน (ม.ค.-เม.ย.2566) ที่ยังไม่มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้า
"เข้าใจก่อนว่าปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าจะมีอัตราเริ่มต้นและปรับอัตราเพิ่มเป็นขั้นบันได อาทิ ประเภทผู้ใช้ครัวเรือนอัตราที่ยังไม่รวมค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) และภาษีมูลค่าเพิ่ม การคิดค่าไฟเริ่มต้นตั้งแต่ 1-150 หน่วยอยู่ที่ 3.2484 บาทต่อหน่วย, 151-400 หน่วย อยู่ที่ 4.2218 บาทต่อหน่วย, เกิน 400 หน่วยอยู่ที่ 4.4217 บาทต่อหน่วย ดังนั้น แม้ประชาชนจะไฟฟ้าเปิดเวลาเท่าเดิมแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศทำงานหนัก จะกินไฟฟ้าหลายหน่วยเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราเพิ่มสูงขึ้นจึงเกิดค่าไฟแพงขึ้น"
สำหรับประเด็นอัตราการสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin : RM) ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอีกสาเหตุทำให้ค่าไฟแพงนั้น ปัจจุบันสำรองไฟฟ้าของไทยอยู่ที่ 36% ไม่ได้สูงถึง 50 – 60% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการนำค่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญามาคำนวณ จึงไม่สะท้อนอัตราการสำรองไฟฟ้าแท้จริง อาทิ ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล ถูกคำนวณเป็นสำรองไฟฟ้าแต่ไม่ใช่สำรองไฟฟ้าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ในด้านความมั่นคงพลังงาน การผลิตไฟฟ้าต้องเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่องและมั่นคง จำเป็นต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง เพื่อรองรับเหตุต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าตามปกติได้ อาทิ แหล่งก๊าซธรรมชาติหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติเพื่อซ่อมแซม หรือโรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้าเนื่องจากเกิดเหตุขัดข้องหรือปิดซ่อมบำรุง ซึ่งรวมทั้งกรณีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนผันผวน
"กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองมากเกินไป บ่งบอกว่า อาจมีโรงไฟฟ้ามากเกินกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ผลกระทบที่ตามมา คือ อัตราค่าไฟจะสูงขึ้น เนื่องจากค่าไฟฟ้าคิดรวมต้นทุน ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าด้วย แต่หากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองน้อย จะส่งผลให้มีความเสี่ยงในการขาดแคลนไฟฟ้าในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม สอดคล้องกับกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ได้จริง"
ทั้งนี้ ล่าสุดความต้องการใช้ไฟฟ้า ประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ดีมานด์ เดือนเม.ย. อยู่ที่ประมาณ 33,000 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2565 ซึ่งพีค ดีมานด์ ต้องมาพร้อมกับสำรองไฟฟ้าที่เพียงพอด้วย โดยต้นทุนไฟฟ้าของไทยที่สูงขึ้นมาจากการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยปัจจุบันพึ่งพาเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ทั้ง อ่าวไทย เมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สูงถึง 56%
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 มีการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตของแท่นขุดเจาะขนาดใหญ่ในอ่าวไทย ทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตก๊าซในประเทศลดลงจากเดิม นอกจากนี้ปีที่ผ่านมายังเกิดวิกฤตการณ์ราคา LNG โลก มีความผันผวนและปรับสูงขึ้นเป็นอย่างมากจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาแอลเอ็นจีจากปกติ 8-10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เพิ่มสูงขึ้นถึง 50-80 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เป็นเหตุผลหลักทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (เดือนพ.ค. - ส.ค. 2566) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วยเหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ตามที่ นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ให้สัมภาษณ์แล้ว โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เสนอรับชำระค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระเพิ่มจาก 5 งวดไฟฟ้า หรือ ประมาณ 20 เดือน เป็น 6 งวดไฟฟ้า หรือ ประมาณ 24 เดือนหรือสองปี ซึ่งการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเป็นอำนาจของกกพ. กระทรวงพลังงานไม่อาจก้าวล่วง ในการที่จะบอกว่าอัตราค่าไฟฟ้างวดที่สองนี้จะลดลงมาเหลือ 4.70 บาทหรือไม่ แต่กฟผ.ได้มีการเสนอไปให้กกพ.พิจารณาแล้ว
นายคมกฤช กล่าวว่า วันที่ 21 เม.ย. 2566 อนุกรรมการฯ จะหารือในเรื่องนี้อีกครั้ง โดยผลการหารือจะเป็นอย่างไรนั้นก็จะต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (บอร์ดกกพ.) ในวันที่ 26 เม.ย. 2566 อีกครั้ง ซึ่งตามขั้นตอนแล้วอาจต้องมีการรับฟังความเห็นอีกรอบเป็นเวลาประมาณ 10 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะขึ้นอยู่กับมติบอร์ด กกพ. จะพิจารณา