บีโอไอจับมือเซี่ยงไฮ้ เชื่อมลงทุนไทย-จีน ดันคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอนาคต
บีโอไอ จับมือนครเซี่ยงไฮ้ จัดงาน “ลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคต” เชื่อมโยงการลงทุนไทย-จีน ผนึกกำลังเชื่อมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ชี้โอกาสการลงทุนอุตฯ สุขภาพ การแพทย์ อีวี อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้ร่วมกับนครเซี่ยงไฮ้ และหน่วยงาน Invest Shanghai จัดงาน “ลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคต” เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 ที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกง เจิ้ง นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ และคณะผู้บริหารระดับสูงของนครเซี่ยงไฮ้ และนักธุรกิจไทย – จีน เข้าร่วมงานสัมมนากว่า 300 คน
ภายในงานมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายหาน จื้อเฉียงเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมกล่าวเปิดงาน ซึ่งกรุงเทพมหานคร และนครเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองพี่ - เมืองน้อง ที่มีความร่วมมือกันมายาวนาน ทั้งด้านการพัฒนาเมืองและด้านเศรษฐกิจ
การจัดงานครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากบีโอไอได้เดินทางไปโรดโชว์ส่งเสริมการลงทุน ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เมืองธุรกิจสำคัญ ได้แก่ นครเซี่ยงไฮ้ หางโจว เซินเจิ้น และกว่างโจว และได้ร่วมกับเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้และ Invest Shanghai จัดงานสัมมนาส่งเสริมการลงทุนที่นครเซี่ยงไฮ้ในช่วงต้นเดือนเม.ย. 2566 ที่ผ่านมา โดยการร่วมจัดงานทั้ง 2 ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการขยายความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งจากจีนมาสู่ไทย และไทยไปสู่จีน ตามนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) สู่ภูมิภาคอาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)
“นักลงทุนจีนให้ความสนใจทำเลที่ตั้งของประเทศไทยซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใจกลางภูมิภาคอาเซียน มีระบบขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งในอนาคต มีโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับเขตพิเศษหลินกังของนครเซี่ยงไฮ้ได้”
นอกจากนี้ ไทยยังมีความแข็งแกร่งด้านซัพพลายเชน อุตสาหกรรมสนับสนุน บุคลากรที่มีคุณภาพ มาตรการสนับสนุนของรัฐและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศ จึงมีความเหมาะสมในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ที่จะเป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโตสูง รวมทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ที่ไทยทำร่วมกับประเทศต่าง ๆ 15 ประเทศ
ขณะเดียวกันประเทศจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้าและการลงทุน โดยนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงก่อนโควิด มีจำนวน 11 ล้านคนปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและกลับมาท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ในด้านการค้าจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ที่มีสัดส่วนถึง 17% ของมูลค่าการค้ารวม
ขณะที่ด้านการลงทุน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนจากจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี2565 จีนขึ้นมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งที่มีสัดส่วนถึง 18% ของการลงทุนโดยรวม และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีการยื่นคำขอลงทุนในไทย มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
สำหรับเซี่ยงไฮ้ ถือเป็นมหานครที่มีประชากรและขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นมหานครอันดับ 6 ของโลก ในปี 2565 จีดีพีอยู่ที่ 22.5 ล้านล้านบาท (4.47 ล้านล้านหยวน) มีการพัฒนาเมืองและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเป็นผู้นำนวัตกรรมและฐานการผลิตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่
นอกจากนี้ นครเซี่ยงไฮ้ได้ผลักดันการพัฒนาเขตต่าง ๆ ให้เป็นพื้นที่พิเศษ โดยเฉพาะเขตพิเศษหลินกัง (Shanghai Lin-gang Special Area) ที่เน้นส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล สุขภาพและการแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เป็นโอกาสที่จะเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทไทยหลายรายที่ได้เข้าไปลงทุนในนครเซี่ยงไฮ้และเมืองใกล้เคียง เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ปตท. สหยูเนี่ยน สามมิตร เครือดุสิตธานี และสถาบันการเงินหลายแห่ง เช่นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น