แพ็คเกจลงทุนแบต EV สะดุด 'สุพัฒนพงษ์' เตะถ่วงเสนอ ครม.

แพ็คเกจลงทุนแบต EV สะดุด 'สุพัฒนพงษ์' เตะถ่วงเสนอ ครม.

จับตาแพ็คเกจลงทุน "แบต EV" สะดุด วงในเผย "สุพัฒนพงษ์" ไม่ยอมนำเรื่องขออนุมัติงบ 2.4 หมื่นล้าน จาก ครม. ทั้งที่มาตรการผ่านความเห็นชอบจากบอร์ดอีวี ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2566

คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ประชุมเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2566  เห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิตจาก 8% ลดเหลือ 1%

รวมทั้งมีมาตรการที่สำคัญคือ เงินสนับสนุนสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับ Cell Production ตามกำลังการผลิตสูงสุดและพลังงานจำเพาะโดยน้ำหนักของแบตเตอรี่ โดยกำหนดวงเงินงบประมาณไม่เกิน 24,000 ล้านบาท บนหลักการ "First Come-First Seve" เพื่อจูงใจให้ผู้ขอรับสิทธิเร่งดำเนินการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศโดยเร็ว สำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตแตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า แบ่งเป็นประเภท 3 แบตเตอรี่  คือ

1. แบตเตอรี่ประเภทที่มีพลังงานจำเพาะโดยน้ำหนักสูงกว่า 190 Wh/kg โดยผู้ผลิตแบตเตอรี่ตั้งแต่  1 GWh แต่น้อยกว่า 8 Gwh จะได้รับเงินสนับสนุน 600 บาท และตั้งแต่ 8 GWh จะได้รับเงินสนับสนุน 800 บาท 

2. แบตเตอรี่ประเภทที่มีพลังงานจำเพาะ โดยน้ำหนักสูงกว่า 155 - 190 Wh/kg โดยผู้ผลิตแบตเตอรี่ตั้งแต่ 1 GWh แต่น้อยกว่า 8 Gwh จะได้รับเงินสนับสนุน 500 บาท และตั้งแต่ 8 GWh จะได้รับเงินสนับสนุน 700 บาท

3. แบตเตอรี่ประเภทที่มีพลังงานจำเพาะโดยน้ำหนักตั้งแต่ 125 - 145 Wh/kg โดยผู้ผลิตแบตเตอรี่ตั้งแต่ 1 GWh แต่น้อยกว่า 8 Gwh จะได้รับเงินสนับสนุน 400 บาท และตั้งแต่ 8 GWh จะได้รับเงินสนับสนุน 600 บาท 

ทั้งนี้ เนื่องจากวงเงินงบประมาณมีจำนวนจำกัด การให้เงินสนับสนุนจะอยู่บนหลักการ “ลงทุนผลิตก่อน ได้รับเงินสนับสนุนก่อน” โดยเงินสนับสนุนที่ภาครัฐให้กับผู้ผลิตแบตเตอรี่จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าขายในตลาดมีราคาถูกลงด้วย

ส่วนการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ขอรับสิทธิสามารถใช้สิทธินำเข้าแบตเตอรี่สำเร็จรูปมาก่อนและได้รับเงินสนับสนุนเพื่อให้สามารถเริ่มต้นการผลิตได้เร็ว โดยผู้ขอรับสิทธิจะต้องแสดงหลักฐานให้เชื่อได้ว่าจะมีการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทยในอนาคต เช่น บัตรส่งเสริมการลงทุนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 4 (รง.4) สัญญาซื้อเช่าที่ดินและหลักประกันจากธนาคาร เป็นต้น

โดยกรมสรรพสามิตจะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่อไปเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าผู้ขอรับสิทธิซึ่งใช้สิทธินำเข้าแบตเตอรี่จะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในภายหลัง

ในขณะที่เงื่อนไขและมาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ อาทิ 

1. แบตเตอรี่ที่ผลิตต้องมีไลฟ์ไซเคิล ไม่น้อยกว่า 1,000 รอบ โดยนับจาก 70% ของ Nominal Capacity ที่ Depth of Discharge ไม่ต่ำกว่า 80% ณ อุณหภูมิทดสอบ 20-25 องศาเซลเซียส โดยแบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศต้องได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล จากห้องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่ภายใต้ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติหรือ (ATTRIC) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC

2. การผูกเงื่อนไขหรือสร้างกลไกให้เกิดการใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศระดับเซลล์ production สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

3. การกำหนดเงื่อนไขสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่นคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพของรถยนต์ (ความสามารถในการชาร์จไฟหรือระยะทางต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง) หรือคุณสมบัติด้านความปลอดภัย

4. การกำหนดให้แบตเตอรี่เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อควบคุมคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศและนำเข้า

5. การกำหนดระบบการกำจัดแบตเตอรี่หรือกระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่โดยอ้างอิงกฎหมายที่มีอยู่แล้วในการกำกับดูแล เช่น กฎกระทรวง กำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (โรงงานลำดับที่ 105 และ 106 ) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ 2535 

6. การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการสินแร่ หรือวัตถุดิบหายากจากแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้บันทึกรายงานการประชุมระบุว่า เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีผู้ผลิตแบตเตอรี่แสดงความประสงค์ที่จะลงทุนผลิตแบตเตอรี่ที่มีขนาดกำลังการผลิตตั้งแต่ 8 GWh/ปี ในประเทศไทยตามเป้าหมายการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ จึงเห็นควรให้ชะลอการดำเนินมาตรการดังกล่าวจนกว่าจะมีความชัดเจนว่าจะมีการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศ

ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตนำมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ไปหารือกับผู้ที่สนใจลงทุนให้เกิดความชัดเจนและนำเสนอมาตรการดังกล่าวพร้อมทั้งเสนอขอใช้งบประมาณต่อครม.

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า มาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่อยู่ระหว่าง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานบอร์ดอีวี เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบและให้มีผลบังคับใช้ ซึ่งมีผู้ผลิตแบตเตอรี่หลายรายกำลังรอมาตรการดังกล่าว

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ขณะนี้ไทยได้รับความสนใจจากผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกในการมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่อีวีในประเทศ เพราะปัจจัยบวกหลายประการ ประกอบด้วย

1. ภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 หรือ การผลิตร้อยละ 30 ในปี 2030 (พ.ศ.2573) ที่ชัดเจนและออกมาตรการส่งเสริมในด้าน Demand-Supply อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจมากขึ้น

2. ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากมาตรการให้เงินสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งบอร์ดอีวีได้อนุมัติไปเมื่อปีที่แล้ว

3.การที่ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายจีนและค่ายยุโรป ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของผู้ผลิตแบตเตอรี่ได้มีการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแล้ว