‘แบงก์ชาติจีน’ ตุน ‘ทองคำ’ เพิ่ม 7 เดือนติด ดันยอดรวมแตะ 2,092 ตัน

Key Points

• PBOC เข้าซื้อทองคำเพิ่ม 7 เดือนติดต่อกัน
• PBOC ซื้อทองคำเพิ่ม 16 ตันในเดือน พ.ค.
• กูรูฟันธง ดีมานด์ทองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองอาจปรับตัวสูงขึ้นทำนิวไฮ

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานเมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) ว่า รัฐบาลจีนซื้อ ทองคำ ในฐานะสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศเพิ่มเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการซื้อ (ดีมานด์) ทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น

หากอ้างอิงตามข้อมูลซึ่งรวบรวมโดย ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBOC) ล่าสุด พบว่า รัฐบาลกลางปักกิ่งเพิ่มการถือครองทองคําในเดือน พ.ค. 16 ตัน ขณะที่ปริมาณทองคำ โดยรวมในคลังอยู่ที่ 2,092 ตัน คิดเป็นยอดของเดือน พ.ย. ปี 2565 - พ.ค. อยู่ที่ 144 ตัน

มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยแม้ยอดการซื้อทองในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 จะย่อตัวลง ทว่า สมาคมค้าทองโลก (World Gold Council) ยังเชื่อว่าดีมานด์ทองคำจะยังคงแข็งแกร่ง

นอกจากนี้การสำรวจของสมาคมค้าทองโลก เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่า ของธนาคารกลางทั่วโลกราว 1 ใน 4  มีแนวโน้มเพิ่มการถือครองทองคำในอีก 12 เดือนข้างหน้า ท่ามกลางความปั่นป่วนของสกุลเงินดอลลาร์ 

ด้าน รูธ โครเวลล์ (Ruth Crowell) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ สมาคมค้าทองในกรุงลอนดอน (The London Bullion Market Association)  กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก ทีวี เมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า “ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงต้องการทองคำแท่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ ความต้องการซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางทั่งโลกคิดเป็นสัดส่วนกือบ 1 ใน 4 ของความต้องการทองคําทั่วโลกในปี 2565 และการซื้ออย่างต่อเนื่องจะให้ยิ่งส่งเสริมให้ราคาทองปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทําสถิติสูงสุดแล้วในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา 

น่าสนใจว่า ทางการจีนเริ่มสะสมทองคำมากขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2565 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทางการจีนเข้าซื้อทองคำติดต่อกันหลายเดือน เพราะครั้งล่าสุดเป็นการซื้อติดต่อกัน 10 เดือน ซึ่งสิ้นสุดลงในเดือน ก.ย. 2562

ท่ามกลางปริมาณทองคำที่เพิ่มมากขึ้น พีบีโอซี ระบุว่า เงินสํารองเงินตราต่างประเทศ ณ สิ้นเดือน พ.ค.ของจีนกลับลดลงเหลือ 3.18 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 3.20 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนก่อนหน้า 

อ้างอิง

1. Bloomberg