กกร.เคาะต่ออายุสินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ ออกไปอีก 1 ปี

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า   ที่ประชุมกกร.มีมติต่ออายุสินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ ออกไปอีก 1 ปี  นับจากวันที่ 1 ก.ค.2566 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2567 โดยแบ่งเป็นสินค้าควบคุม 46 รายการ และบริการควบคุมอีก 5 รายการ และเมื่อรวมกับบัญชีสินค้าและบริการควบคุมที่มีการต่ออายุไปก่อนหน้านี้ 5 รายการ เท่ากับว่าจะมีสินค้าและบริการอยู่ในบัญชีควบคุมรวมเป็น 56 รายการ หลังจากนี้ จะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ หาก ครม. ให้ความเห็นแล้วชอบแล้ว จะทำให้มีสินค้าและบริการควบคุมรวม 56 รายการ เพราะมีรายการที่ยังไม่หมดอายุอีก 5 รายการ คือ หน้ากากอนามัย สปันบอนด์ เจลล้างมือ กระดาษและเศษกระดาษ และเนื้อไก่ ที่ได้มีการต่ออายุไปก่อนหน้านี้ และจะหมดอายุในวันที่ 23 ม.ค.2567

สำหรับสินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ ประกอบด้วย 46 สินค้า 5 บริการ สินค้ามี 10 หมวด ประกอบด้วย หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง เช่น ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หมวดปัจจัยทางการเกษตร เช่น กากดีดีจีเอส เครื่องสูบน้ำ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ได้แก่ ยารักษาโรค เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค หมวดวัสดุก่อสร้าง เช่น ท่อพีวีซี ปูนซีเมนต์ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ

หมวดสินค้าเกษตร เช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ผลปาล์มน้ำมัน มะพร้าวผลแก่ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น แชมพูผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย หมวดอาหาร เช่น ไข่ไก่ นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว แป้งสาลี สุกร เนื้อสุกร หมวดอื่น ๆ คือ เครื่องแบบนักเรียน ส่วนรายการบริการ เช่น บริการซื้อขาย และ/หรือบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ ส่วนสินค้าที่มีการต่ออายุไปก่อนหน้านี้ 5 รายการ ได้แก่ หน้ากากอนามัย  ใยสังเคราะห์เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก และไก่ เนื้อไก่

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบ 7 มาตรการดูแลสินค้าและบริการเพื่อให้เกิดความเเป็นธรรมกับผู้บริโภค ประกอบด้วย 1.ให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ตัวแทนจำหน่าย แจ้งข้อมูลต่อฝ่ายเลขานุการ 2.แจ้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคา 3.แจ้งการทำบัญชีคุมสินค้า 4.การขออนุญาตเปลี่ยนราคา 5.การกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อไว้เป็นกรณีเฉพาะ เช่น บังคับให้ปิดป้ายราคารับซื้อ ป้องกันการเอาเปรียบ ห้ามคิดค่าชั่งน้ำหนัก 6.มาตรการควบคุมการขนย้าย ได้เห็นชอบให้ ข้าวโพดกำหนดให้ควบคุมการขนย้าย ใน 6 อำเภอ 2 จังหวัดเพิ่มเติม คือ 1.จังหวัดนครพนม 4 อำเภอ อ.เมือง อ.บ้านแพง อ.ธาตุพนม และ อ.ท่าอุเทน 2.จังหวัดสงขลา 2 อำเภอ อ.สิงหนคร และ อ.เทพา และเพิ่มพื้นที่ควบคุมการขนย้ายหัวมันสำปะหลังสดและมันเส้น จำนวน 12 อำเภอ ใน 4 จังหวัด 1.จังหวัดตาก 5 อำเภอ อ.แม่สอด อ.ท่าสองยาง อ.แม่ระมาด อ.อุ้มผาง และอ.พบพระ 2.จังหวัดพะเยา ใน 2 อำเภอ อ.ภูซาง และ อ.เชียงคำ 3.จังหวัดน่าน ใน 3 อำเภอ อ.ทุ่งช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ และ อ.สองแคว 4.จังหวัดอุตรดิตถ์ ใน 2 อำเภอ อ.บ้านโคก และ อ.น้ำปาด

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบให้แสดงราคาจำหน่ายสินค้าและบริการ ณ จุดจำหน่าย ใน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.ช่องทางออฟไลน์ จำนวน 290 รายการ (240 สินค้า 50 บริการ) 2.ช่องทางออนไลน์ 3.มาตรการแสดงราคารับซื้อสินค้าเกษตร 33 รายการ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ

ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายตัวปรับราคาลดลง โดยหมูเนื้อแดง เฉลี่ย กก. 143 บาท และไข่ไก่เฉลี่ยฟอง 4.08 บาท ซึ่งอยู่ในราคาโครงสร้างที่กระทรวงกำหนด และคาดในเดือนก.ค.ราคาไข่ไก่ น่าจะลดลงอีก ส่วนราคาผักสดทยอยลดลงแล้วหลังฝนฟ้าเริ่มตกลงมา เช่น ต้นหอมลดจาก กก.100 บาท เหลือ 90 บาท ผักชีลดจาก 250 บาท เหลือ 100 บาท มะนาวลูกละ 5.50 บาท เหลือ 3.80 บาท

ขณะที่ราคาพืชผลการเกษตร ขณะนี้ดีมากยุคหนึ่ง พืชเกษตรสำคัญที่ราคาสูงคือ  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่  ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวหอมปทุม ข้าวเปลือกเหนียว 4 รายการนี้ราคาสูงกว่าราคาประกันรายได้ทุกตัว และปีนี้มีแนวโน้มว่าการส่งออกข้าวไทยจะทะลุ 8 ล้านตัน เราน่าจะยังครองอันดับ 2 ของโลกได้  มันสำปะหลัง หัวมันสดที่เชื้อแป้ง 25% ราคาเฉลี่ย 3.43 บาทตอกก. สูงกว่าราคาประกันที่ 2.50 บาทต่อกก. ปาล์มน้ำมัน เฉลี่ย 5.20 บาทต่อกก. ประกันรายได้ที่ 4 บาทต่อกก. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ย 12 บาท/กก. ประกันรายได้ที่ 8.50 บาทต่อกก.