ม.หอการค้าฯ คาดม็อบไม่แรง-จีดีพีโต 3.5%

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ระบุ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 รอบที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ว่า มีความเป็นไปได้ 3 แนวทาง

อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ระบุ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 รอบที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ว่า มีความเป็นไปได้ 3 แนวทางคือ 1.การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการเปิดโหวตในรอบต่อไปได้อีก เนื่องจากการระดมเสียงเพิ่มอีก 50 กว่าเสียงภายใน 1 สัปดาห์ มีความเป็นไปได้ยาก

2. หากพิจารณาตามกรอบ MOU 8 พรรคการเมืองที่ตกลงไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน หรือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในกรณีนี้ อาจจะช่วยให้กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีจะใช้เวลาสั้นลง และยังอยู่ในครรลองหลักประชาธิปไตย และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วขึ้นภายในเดือนสิงหาคม 2566

และ 3. คือ มีโอกาสที่จะมีการเสนอพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ  หรือไม่ก็อาจจะมีการหักขั้วเสนอรายชื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีท่านอื่นแทน

สำหรับแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย คือการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและจัดตั้งขึ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุด โดยเชื่อว่าการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ส่วนการแสดงออกอย่างสันติ การประท้วงในพื้นที่ที่จัดไว้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ หากไม่มีการใช้ความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ หากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 จะเป็นผลดีต่อการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 ทำให้ภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รู้ทิศทางนโยบายในการพัฒนาประเทศ และมั่นใจตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือบรรยากาศการเมืองที่มีเสถียรภาพ หากได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ หรือได้รัฐบาลที่สามารถจัดตั้งได้เร็วภายในกรอบเวลา โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองการเติบโตเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ยังขยายตัวได้ประมาณ 3.5%