สภาหอการค้า ชี้ ตลาดเวียดนามบูม ผนึกกำลังสตาร์ทอัปชิงตลาดอีคอมเมิร์ซ
สภาหอการค้าฯ ชี้ ตลาดเวียดนามบูม การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจโต หนุนสตาร์ทอัปไทย เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มผนึกเวียดนามกินส่วนแบ่งอีคอมเมิร์ซในเซาท์อีสเอเชีย มั่นใจ ปี 2025 มูลค่าทางการค้าร่วมกันเพิ่มขึ้นทะลุเป้า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จี้เร่งตั้งรัฐบาลคลอดมาตรการดันเศรษฐกิจ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมมิตรภาพไทย– เวียดนาม กล่าวเปิดงานสัมมนา “THAILAND-VIETNAM BUSINESS FORUM 2023: กระชับความสัมพันธ์ไทยเวียดนามภายใต้แนวคิด ‘1+1 = Zero Boundary’” ในการระดมพลังความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม จัดโดย สมาคมมิตรภาพไทย–เวียดนาม ว่า งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นความร่วมมือของภาครัฐ และภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โดยปีนี้ สมาคมเน้นเรื่องความร่วมมือและความสัมพันธ์สำหรับ กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ และสตาร์ทอัป
ทั้งนี้ มีจุดประสงค์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศในภาคประชาชน รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นและขับเคลื่อนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงมิติในด้านการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัปจากนักลงทุน ก่อให้เกิดการแชร์ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ความรู้จากวิทยากรชั้นนำจากทั้ง 2 ประเทศ สร้างเครือข่ายในภาคประชาชนแสดงถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันที่มีความยั่งยืนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ปีนี้ที่เราเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่และกลุ่มสตาร์ทอัป ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นแค่หัวใจและวิญญาณของเศรษฐกิจในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นกลุ่มที่จะพาทั้ง 2 ประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการสร้างนวัตกรรมอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้การลงทุนในเวียดนามไปได้ดี มีความชัดเจนโดยเฉพาะด้ารการเมืองที่นิ่ง เศรษฐกิจยังโตต่อไปได้”
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้ง 2 ประเทศจะได้ฉลองครบรอบ 10 ปีของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน และถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาตร์ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่ง ร่วมกัน ถือว่าได้ประสบความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง มีการลงทุนกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสรรค์และติดต่อสื่อสารทางวัฒนธรรม ศิลปะ และกีฬา และยังได้ขยายขอบเขตไปยังด้านการท่องเที่ยว ที่สร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ และเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเมืองและภูมิภาคต่าง ๆ ของทั้ง 2 ประเทศ เปิดโอกาสใหม่ในด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามเมื่อปีที่ผ่านมา ไทยและเวียดนามได้ลงนามความตกลง 5 ฉบับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงนามแผนปฏิบัติการว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งไทย-เวียดนามในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2565-2570)และบันทึกความเข้าใจระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งเวียดนาม ซึ่งจะทำให้การผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและจะเป็นการส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมของทั้ง 2 ประเทศและภูมิภาค ครอบคลุมทั้งการค้า การลงทุน ความเชื่อมโยงทางคมนาคม การเงินการธนาคาร และเศรษฐกิจดิจิทัล
รวมทั้งการเร่งอำนวยความสะดวก ลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันตามแนวทาง Three Connects คือ 1. การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในสาขาที่เกื้อกูลกัน 2.การเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคอีสานของไทยกับภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม และ 3.การเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะ BCG กับนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวของเวียดนาม
“เราได้ให้ความสำคัญสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในระหว่างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ของทั้ง 2 ประเทศซึ่งกลุ่มเป้าหมายของการจัดงานในครั้งนี้ก็คือกลุ่ม startup และกลุ่ม Young Entrepreneur ที่จะมีการจัดสัมมนาให้ความรู้และจัดให้มี Networking ระหว่างผู้ประกอบรุ่นใหม่ของไทยและเวียดนาม โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2025 จะมีการเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นให้ถึง 25,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ที่สนใจจะช่วยให้ทะลุเป้าหมายแน่นอน”
สำหรับ ประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังมีความล่าช้าในขณะนี้นั้น มองว่าควรทำให้เร็วไม่อย่างนั้นจะเกิดการเสียหาย โดยตามกรอบเวลาเดือนส.ค. ก.ย. 2566 ควรมีรัฐใหม่เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เยียวยาจากปัญหาภัยแล้ง และอีก 2-3 ปี จะมีผลกระทบของภาคเกษตรกร ดังนั้น จึงต้องการชุดใหม่เร็วที่สุด และการจัดขั้วรัฐบาลต่าง ๆ ขอให้มีความเสถียรภาพ เป็นสิ่งที่น่าจับตา อาทิ 1. ภาคท่องเที่ยว ที่อยู่ในช่วงเป็นไฮซีซั่นจึงต้องสร้างความมั่นใจให้กับประเทศ 2. นอกจากจะเอาเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและ จะต้องเอาเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาด้วย ซึ่งการส่งออกไทยติดลบมา 9 เดือนแล้ว ซึ่งปีนี้น่าจะติดลบ 2%
“ครึ่งปีหลังผลผลิตเกษตรกรราคาตกต่ำ สร้างความกังวล ถ้าตั้งไม่ได้ในส.ค.-ก.ย. กระทบเศรษฐกิจแน่นอนโดยเฉพาะปากท้องประชาชน เรามีข้อมูลจาก 5ภาค ตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย. ประชาชนไม่มีเงินซื้อของ โดยเฉพาะสินค้าคงทนที่ขายไม่ออก และเดือนก ค. ก็แย่ไปใหญ่ หวังว่าส.ค. จะตั้งได้ และก.ย. จะเป็นรูปร่าง เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังฟิ้น สวนกระแสเศรษฐกิจโลก”
ทั้งนี้ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เช่น คนละครึ่งประสบความสำเร็จมาก จึงคิดว่าพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งหากเป็นรัฐบาลที่เคยชูนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท จากจำนวนประชากร 50 ล้านคน จะได้เงินเข้าระบบ 5 แสนล้านบาท อาจเป็นภาระทางการคลังหรือไม่ ดังนั้น อาจต้องหารือกันเพื่อช่วยประชาชนที่ต้องการ ส่วนคนที่มีรายได้ ก็อาจจะเอาไปกระตุ้นด้านการลงทุน ส่วนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่ารัฐบาลใหม่เข้ามาจะต้องดูกลไกตามระบบไตรภาคีอีกครั้ง