พาณิชย์ เผย วิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีนกระทบท่องเที่ยว-ส่งออกไทย
สนค. วิเคราะห์ผลกระทบของปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนต่อเศรษฐกิจไทย พบ ภาคการท่องเที่ยว ทำนักท่องเที่ยวจีนลดลงไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ขณะที่การส่งออกไทยไปจีนก็ลดลงจากกำลังซื้อผู้บริโภคจีนจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แนะผู้ประกอบการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้วิเคราะห์ผลกระทบปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจจีนที่ถือว่ามีอิทธิพลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังรัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดโควิด-19 อยู่ไม่น้อย
ปัญหานี้มีต้นตอมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนส่วนใหญ่ทำธุรกิจโดยใช้วิธีกู้ยืมเงินเป็นหลัก และสร้างปริมาณโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ ทำให้ธนาคารจีนได้ประกาศกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า “Three Red Lines” มีเป้าหมายเพื่อลดหนี้สินในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็มีเพียง 6.3% ของจำนวนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ครบทุกข้อ จึงทำให้ธุรกิจเกือบทั้งหมดไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อนำมาใช้หมุนเวียนภายในกิจการได้ ประกอบกับยอดขายที่ลดลงในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้หลายธุรกิจขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก
หนึ่งในนั้น คือ บริษัท Evergrande ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์จีน มีโครงการมากกว่า 1,300 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจจีน และเป็นธุรกิจที่มีหนี้มากที่สุดในโลก เพิ่งได้ยื่นขอล้มละลายในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุดยังมีข่าวบริษัท Country Garden ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของจีน มีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ถือว่ามีขนาดใหญ่จนสามารถสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนเป็นวงกว้าง มีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 29% ของ GDP จีน
ดังนั้นปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์จึงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเรื่องของตลาดแรงงานภาคการก่อสร้างที่ถูกเลิกจ้าง ภาคค้าปลีกในหมวดของตกแต่งบ้านลดลง
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย พบว่า มีผลกระทบใน 2 ส่วนคือ 1. ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการใช้จ่ายเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนที่ลดลง และส่งผลข้างเคียงมายังเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในประเทศไทย โดยในช่วงเวลาปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาในประเทศไทย จำนวน 11.1 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวน 5.3 แสนล้านบาท แต่ในปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาในประเทศไทยสะสมช่วงครึ่งปีแรกเพียง 1.4 ล้านคนเท่านั้น
2. ผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งมีผลกระทบที่ส่งผ่าน 3 ช่องทาง คือ ผลกระทบจากกำลังซื้อของชาวจีนที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนต่อ GDP ของจีนค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่ มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าที่มิใช่สินค้าจำเป็น
รวมทั้งยังผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าวัตถุดิบที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีเพียงบางรายการ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ (เช่น เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง) และเม็ดพลาสติก ซึ่งมีจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 มีสัดส่วน 18% และ 29% ตามลำดับ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออก Top 10 ของไทย ซึ่งครึ่งปีแรกของปี 2566 สองสินค้าข้างต้นที่ส่งออกไปจีน หดตัว 20.9% และ 26.9% ตามลำดับ ขณะที่สินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องกับภาคการก่อสร้าง เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เครื่องจักรกลที่ใช้ในการก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก คาดว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย-น้อยมาก เนื่องจากจีนไม่ใช่ตลาดส่งออกหลัก
นอกจากนี้ยังผลกระทบโดยอ้อมจากอิทธิพลด้านราคา อาทิ เหล็กและเหล็กกล้า ทองแดงและของทำด้วยทองแดง ด้วยเหตุผลที่จีนเป็นผู้บริโภคและผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของโลก จึงมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินค้า และไทยในฐานะเป็น Price taker การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องจึงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาที่มีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนอยู่บ้าง โดยเฉพาะราคาเหล็กที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมากกว่าสินค้าอื่น ๆ ตามผลของ JP Morgan พบความสัมพันธ์ระหว่างการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่กับการนำเข้าเหล็กของจีนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมากและเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า สนค.แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยคอยติดตามสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนเป็นระยะ ๆ เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศ สำหรับภาคการค้า จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 และตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย มีสัดส่วนประมาณ 12% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจจีนย่อมมีผลกระทบสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยอยู่ไม่น้อย