AEM ชงผู้นำเห็นชอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัล-ยุทธศาสตร์ฯคาร์บอน
‘พาณิชย์’ เผย ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 55 เตรียมเสนอการจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน (DEFA) การจัดทำยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอน และปฏิญญาว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม เตรียมชงผู้นำ ก.ย.นี้
นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 55 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 19-22 ส.ค. 2566 ณ เมืองเซอมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ว่า การประชุมครั้งนี้ ได้ผลลัพธ์สำคัญที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) และผู้นำอาเซียน ในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ก.ย. 2566 ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน (DEFA) การจัดทำยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอน และปฏิญญาว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวถือเป็นกลไกการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียนที่ตอบสนองเชิงรุกต่อแนวโน้มการค้าของโลก
ที่ประชุมได้เห็นชอบเอกสารที่จำเป็นในการเปิดเจรจาจัดทำความตกลง DEFA ซึ่งรวมถึงเอกสารผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบของการจัดทำความตกลง DEFA เอกสารแนวทางในการเจรจา และร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนในเรื่องนี้ โดยตั้งเป้าจะเริ่มเจรจาปลายปีนี้ และให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งคาดว่า DEFA จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน ให้สูงถึง 400-600 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบประเด็นสำคัญ เช่น การจัดทำยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจสีเขียวและสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของภูมิภาค การเร่งรัดดำเนินการตามแผนงานของเสาเศรษฐกิจ เช่น การจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนความตกลง RCEP การใช้เอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ e-Form D ในระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบทั้ง 10 ประเทศ ภายในปี 2566 และเตรียมจัดทำวิสัยทัศน์อาเซียนฉบับใหม่ที่จะใช้ภายหลังปี 2568 (Post-2025 Vision) โดยมีเป้าหมายจะยกระดับการรวมตัวของอาเซียนไปสู่การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เป็นต้น
นายเอกฉัตร กล่าวว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้หารือเตรียมการสำหรับการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีการค้าของคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซีย สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร และยังได้หารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN BAC) และภาคธุรกิจของคู่เจรจา ซึ่งให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน การเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การแก้ไขปัญหามาตรการที่มิใช่ภาษีอย่างจริงจัง การเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้า การขับเคลื่อนภูมิภาคสู่ยุคดิจิทัล
โดยเฉพาะการเปิดเจรจา DEFA การพัฒนาที่ยั่งยืน การรับมือกับความท้าทายด้านสาธารณสุขและความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาของอาเซียนโดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 124,609.5 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 71,968.5 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 52,641.0 ล้านดอลลาร์ และในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค. 2566) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 67,916.2 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 38,579.1 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ น้ำตาล เครื่องปรับอากาศติดผนัง และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 29,337.1 ล้านดอลลาร์ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ซึ่งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์