สนค. หนุนรัฐ เอกชน เตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สนค. ศึกษาวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก พบมีความท้าทายและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งรายได้เกษตรกรลดลง การลงทุนของต่างชาติ แนะรัฐ เอกชน รับมือ หนุนทำเกษตรอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีมาใช้ และมุ่งการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย โดยพบว่า การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่แม้จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยและระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดภัยพิบัติ น้ำท่วม และภัยแล้งบ่อยครั้ง มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำของไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ยังต้องพึ่งพาภาคการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรม จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของคนกลุ่มนี้โดยตรง
โดยเกษตรกรส่วนใหญ่จะขาดทุนจากผลผลิตที่เสียหาย ปริมาณผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อันมีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติและสภาพอากาศแปรปรวน และหากการเพาะปลูกในปีดังกล่าวต้องประสบกับภัยธรรมชาติซ้ำซ้อน เกษตรกรบางส่วนอาจต้องกู้ยืมเงินทุนมาเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่
โดยหวังว่าจะนำกำไรจากการขายผลผลิตมาชำระหนี้เงินกู้ยืม หรือจำเป็นต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ ทำให้ความมั่งคั่งลดลง ส่งผลให้เกษตรกรประสบภาวะยากจน มีภาระหนี้สินจำนวนมาก เกษตรกรไม่สามารถออกจากกับดักหนี้ได้ เกิดเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ยังกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อภัยธรรมชาติ เช่น การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหนึ่งตัดสินใจย้ายหรือขยายฐานการผลิตจากไทยไปยังประเทศใกล้เคียงเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ขณะที่ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในไทยบ่อยครั้ง ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไม่พิจารณาไทยเป็นฐานการผลิต เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมาก แนวคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติในขณะนั้น ส่งผลให้ความต้องการแรงงานในไทยลดลง และประเทศสูญเสียโอกาสจากการลงทุน แรงงานที่สูญเสียงานจะขาดรายได้ ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการคาดการณ์ในเดือนพ.ค. 2566 ว่า ภัยแล้งจากปรากฎการณ์เอลนีโญ จะเกิดขึ้นในไทยตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 เป็นต้นไป และอาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2568 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ซ้ำเติมสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร แม้ว่าไทยอาจได้รับอานิสงส์จากความต้องการอาหารจากการขาดแคลนอาหารในพื้นที่อื่น ๆ ของโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้น แต่หากไทยประสบภาวะผลผลิตทางการเกษตรขาดแคลน และราคาสูงขึ้น อาจส่งผลให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบลดน้อยลง
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตร เช่น การทำการเกษตรแบบอัจฉริยะ (Smart Farming) และเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Farming) นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับภาคการเกษตร ทำให้เกษตรกรสามารถใช้น้ำได้อย่างตรงจุด เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งจะเป็นแนวทาง รวมทั้งแนวทางการลดการใช้น้ำในภาคการเกษตร
โดยภาครัฐจะมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือให้เกษตรกรเข้าถึงเงินทุน และให้ความรู้เกี่ยวกับการปรับใช้เทคโนโลยีในการผลิต ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีจะช่วยแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคการเกษตรในปัจจุบันที่ลดลงแล้ว ก็คาดว่าจะช่วยให้เกษตรกรสามารถป้องกันความเสียหายได้ง่ายขึ้น และเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
พร้อมกันนี้ ต้องศึกษา วิจัย และพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนต่อความแล้ง หรือน้ำท่วมขัง รวมทั้งให้ผลผลิตต่อไร่สูง รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่าผลผลิตด้วยเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากสินค้าเกษตรพื้นฐานในปัจจุบันมีคู่แข่งจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักแข่งขันกันในด้านราคาเป็นหลัก ส่งผลให้ผู้ส่งออกต้องกดราคารับซื้อผลผลิตเพื่อให้ได้ราคาที่สามารถแข่งขันได้ เกิดเป็นผลเสียต่อเกษตรกรในระยะยาว
ภาครัฐจึงควรสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง เพื่อให้ส่วนต่างกำไรที่เกษตรกรได้รับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีตลาดต่างประเทศรองรับ และผู้บริโภคในกลุ่มดังกล่าวให้ความสนใจในคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้ามากกว่าปัจจัยด้านราคา โดยภาครัฐสามารถสนับสนุนเกษตรกรผ่านการบ่มเพาะให้ความรู้ การหาตลาด การออกแบบระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และการสร้างมาตรฐานรับรองสินค้าดังกล่าว เพื่อให้สินค้าที่ไปถึงมือผู้บริโภคมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
สำหรับมาตรการอื่น ๆ จะต้องส่งเสริมการเพาะปลูกในเชิงพื้นที่อย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการเพาะปลูกในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยธรรมชาติ หรือหากเป็นพื้นที่เสี่ยงที่เกษตรกรจำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาชีพ ภาครัฐควรแนะนำให้ผลิตสินค้าเกษตรที่ง่ายต่อการดูแล มีอายุในการเก็บเกี่ยวสั้น สามารถนำผลผลิตออกขายได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียผลผลิตจากภัยธรรมชาติได้
รวมทั้งการจัดโซนนิ่งสำหรับการเพาะปลูกสินค้าเกษตร เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผลิตสินค้าเกษตรชนิดเดียวกันในปริมาณมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดในฤดูเก็บเกี่ยว การส่งเสริมแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับแนวทางการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรกรรมให้มีมูลค่าและสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น การนำไปผลิตพลังงานชีวภาพ การผลิตบรรจุภัณฑ์ การผลิตอาหารสัตว์ การผลิต เส้นใยในอุตสาหกรรมสิ่งทอ การนำสารสกัดไปผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร พร้อมลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดเศษวัสดุดังกล่าวไปพร้อมกันตามโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG)