'PTG' อัดงบปีละกว่าพันล้าน หนุน 'พันธุ์ไทย' ชิงตลาดกาแฟ
ด้วยเทรนด์การดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป จากการดิสทรัปชั่น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การทำธุรกิจในรูปแบบเดิม ก็ต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจ Oil ที่ปัจจุบันต้องหาบริการใหม่เพิ่มสัดส่วนในธุรกิจ Non-Oil มากขึ้น
จากผลดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ของกลุ่ม บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG Group มีรายได้จากการขายและบริการ 50,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้ธุรกิจ Oil ที่ 47,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน
ขณะที่รายได้ในส่วนธุรกิจ Non-Oil ที่อยู่ 3,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีรายได้รวม 101,738 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19.3% จากปีก่อน
นางสุขวสา ภูชัชวนิชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย ถือเป็นอีกธุรกิจในกลุ่ม Non-oil มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 70.2% เมื่อเทียบปีก่อน เนื่องจากมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนสาขา กาแฟพันธุ์ไทย อยู่ที่ 703 สาขา ประกอบกับมีการกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าเดิม และการเพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เป็น สมาชิกผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus
สำหรับความแตกต่าง และจุดเด่นของกาแฟพันธุ์ไทย กับแบรนด์อื่น ๆ คือ บัตรสมาชิก PT Max Card ที่ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 20 ล้านราย และเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเดิม หรือลูกค้าที่ใช้บริการเติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว ให้เพิ่มความสนใจในการซื้อบริการหรือสินค้าอื่น และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ามากขึ้น จึงออกบัตรสมาชิก PT Max Card Plus ขึ้นมาใหม่ในราคา 599 บาท โดยลูกค้าสามารถเลือกรับสิทธิพิเศษที่มากขึ้นกว่าเดิมสำหรับสินค้าในเครือ PTG Group
อาทิ ส่วนลดราคาน้ำมัน 50 สตางค์/ลิตร (200 ลิตรต่อเดือน) ส่วนลดกาแฟ 50% ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ Coffee World (10 แก้วต่อเดือน) เพียง 2 เดือน ถือว่าคุ้มทุนแล้วสำหรับใช้ซื้อกาแฟพันธุ์ไทย
นอกจากนี้ กาแฟพันธุ์ไทย ยังถือเป็นแบรนด์กาแฟในปั้มแบรนด์แรก ๆ ที่ทำเครื่องดื่ม ชา กาแฟเป็นเลเยอร์ สวยงาม ได้รับความนิยมมาก เพราะมีลักษณะพิเศษ โดดเด่นไม่เหมือนใคร อีกทั้ง ยังออกโปรดักส์ใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยคัดสรรวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อ ของดีประจำท้องถิ่นทั่วประเทศมาทำเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งนอกจากคุณภาพ รสชาติของกาแฟอาราบิก้า 100% ที่มีความเข้ม หอม อร่อยแล้ว อีกจุดเด่น คือ การมุ่งเน้นการบริการ และ รสชาติของเครื่องดื่มที่ต้องมีมาตรฐาน ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยมุ่งเน้น การฝึกอบรม ตรวจและติดตาม เนื่องจากความยากในการดำเนินธุรกิจกาแฟ คือ การควบคุมคุณภาพของกาแฟในแต่ละแก้ว แต่ละสาขา ต้องให้มีรสชาติมาตรฐานเดียวกัน ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายธุรกิจกาแฟที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นส่งเสริมการให้บริการที่ดี อาหารเครื่องดื่มได้คุณภาพ มาตรฐาน ทางบริษัท จึงได้จัดให้มีคัดเลือก “พันธุ์ไทยแอมบาสเดอร์” เพื่อให้เป็นรางวัลกับน้อง ๆ บาริสต้า ที่สามารถให้บริการ และ รักษาคุณภาพได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
นอกจากนี้ ยังเพิ่มการตรวจติดตามเพื่อควบคุมคุณภาพของกาแฟพันธุ์ไทย จึงได้จัดตั้ง Mobile Lab ที่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ ทำหน้าที่ตรวจวัดความแม่นยำในการชงกาแฟแต่ละแก้วให้ได้รสชาติตามมาตรฐานของพันธุ์ไทย จะเพิ่มความถี่ในการเข้าตรวจของผู้จัดการเขต ในการตรวจติดตามสาขา ในทุก ๆ เดือนเพื่อควบคุมคุณภาพไม่ให้มีการตกหล่นมากที่สุด
โดยในปีหน้าทางบริษัท ฯ มีแผนขยายธุรกิจ ด้านต่างๆ ดังนี้
1.ขยายโลเคชั่น จากผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ที่ชื่นชมว่า “กาแฟพันธุ์ไทยอร่อยแต่หาทานยาก.” ดังนั้น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงง่าย สะดวกในการมาใช้บริการ กาแฟพันธุ์ไทยจึงมุ่งขยายพื้นที่ และสาขาให้ครอบคลุม ปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยมีสัดส่วนในสถานีบริการน้ำมัน PT ที่ 60% และนอกสถานีบริการน้ำมัน PT อีก 40% จึงได้กำหนดให้ทุก 50 กิโลเมตร 100 กิโลเมตร ของปั๊มน้ำมัน PT บนถนนไฮเวย์ทุกเส้นจะต้องมีร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกเข้าก่อสร้างร้าน เฟสที่ 1 ประมาณ 200 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมตลอดเส้นทางการเดินทาง พร้อมมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัด และ ทุกอำเภอ ที่ตอนนี้เปิดสาขาได้ครบ 75 จังหวัด ยังขาดอีกเพียงจังหวัดเดียว ครอบคลุมอำเภอประมาณ 50% จาก 878 อำเภอในประเทศไทย โดยในช่วงแรกเน้นขยายไปยัง กรุงเทพและปริมณฑล
2.ขยายแฟรนไชส์ ให้มากขึ้น ในสัดส่วน 40% ของจำนวนสาขา ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าให้ความสนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก
3.ขยายตลาด เนื่องจากตลาดรวมกาแฟในไทยมีมูลค่าปีละราว 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ตลาด Home Coffee หรือตลาดกาแฟในบ้าน และ Out of Home coffee หรือกาแฟสดที่ทานนอกบ้าน ที่มีมูลค่าตลาดในสัดส่วนพอ ๆ กันคือ 50% หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ตลาด Home coffee จึงเป็นตลาดที่บริษัท ให้ความสนใจ โดยการนำเอาเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพสูงภายในประเทศรวมไปถึงเมล็ดกาแฟของนักปลูกกาแฟชื่อดังจากดอยต่าง ๆ มาขายเป็นเมล็ดกาแฟบรรจุห่อ รวมไปถึงนำเอามาพัฒนาเป็นกาแฟดริป และกาแฟแคปซูล เพื่อเพิ่มทางเลือกและความสะดวกให้กับลูกค้า ที่ชื่นการชอบชงกาแฟดื่มที่บ้าน
4.ขยายกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มน้อง ๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งกลุ่มนี้จะชอบทานกาแฟรสชาติที่อ่อน ก็จะเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าให้สามารถเลือกได้หลากหลาย Blend นอกจาก Punthai Signature blend ที่มีรสชาติเข้มแล้ว จะเพิ่ม Blend สำหรับคนที่อาจจะชอบกาแฟอ่อนลง เช่น Fruity Blend กาแฟคั่วอ่อน ที่เป็นกาแฟที่มีกลิ่นรสชาติของผลไม้ มีกลิ่นหอมเบา ๆ ของดอกไม้ เมื่อทานแล้วกาแฟจะออกรสเปรี้ยวนิดนึง มีความซับซ้อนของรสชาติให้ After taste ที่ชวนหลงใหล เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานกาแฟร้อน และ Nutty Blend กาแฟคั่วกลางถึงเข้ม ซึ่งจะมีรสชาติ ของช็อกโกแลตคั่ว หรือโกโก้ มีความเข้มระดับกลาง ซึ่งมักจะนิยมทานเป็นกาแฟเย็น
5.ขยายไปยังตลาด CLMV ซึ่งขณะนี้ มีลูกค้าต่างประเทศหลายรายเข้ามาติดต่อ สนใจที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมลงทุนขยายสาขากับ กาแฟพันธุ์ไทย
“หากปี 2567 สามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งกาแฟพันธุ์ไทยตั้งเป้ารายได้สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนขยายสาขาวางไว้ปีละ 1,000 ล้านบาท โดยปีหน้าจะเห็นการรีแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย อาทิ การตกแต่งร้าน เครื่องแต่งกายพนักงาน ให้ทันสมัย และ เพิ่มผลิตภัณฑ์กาแฟที่มีทางเลือกหลากหลายมากขึ้น”
สำหรับการดูแลชุมชนและสังคมนั้น กาแฟพันธุ์ไทยทำมาโดยตลอด ทั้งส่งเสริมเกษตรกรทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ล่าสุดคือกาแฟมะม่วงเบา จากจังหวัดสงขลา เมนูจี๊ดกาแฟ หรือกาแฟส้มมะปี๊ด จากจังหวัดจันทรบุรี โดยรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรทั่วประเทศมารังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ ยังสนับสนุนชุมชนกลุ่ม sme และเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ให้สามารถนำขนมมาเสนอวางจำหน่ายในร้านกาแฟพันธุ์ไทย
ล่าสุด ได้ทำ MOU ความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) องค์การบริหารส่วนตำบลปางหินฝน วิสาหกิจชุมชน SAZOMOO ณ องค์การบริหารส่วนตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่โดย PTG Group ผุดโครงการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟอะราบิก้าบนพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ส่งเสริมเกษตรกรท้องถิ่น ค่อยๆปรับเปลี่ยนการทำไร่เลื่อนลอย มาเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชนแบบยั่งยืนเปลี่ยนเขาหัวโล้นให้เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกดีขึ้น
นอกจากนี้ จากการที่ประเทศไทย จะเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งคนกลุ่มนี้แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูไม่แก่ ซึ่งยังแข็งแรงมีสุขภาพที่ดีซึ่งยังอยากที่จะทำงาน จึงส่งเสริมโครงการพันธุ์ไทยวัยเก๋า รับสมัครกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เพื่อมาเป็นบาริสต้า ขณะนี้อยู่ระหว่าง Training และเตรียมตัว เพื่อพัฒนาวัยเก๋าให้เป็นบาริสต้ามืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เสน่ห์ของกาแฟในแบบฉบับของตนเอง คือ การดื่มกาแฟทุกเช้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ กาแฟช่วยสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้ในทุกวัน บางเวลาที่เหนื่อยล้า กาแฟก็สามารถช่วยให้ผ่อนคลาย และสุขใจทุกครั้งที่ได้ดื่มกาแฟ”