"ครัวเรือนเกษตกรไทย"รายได้อ่อนแรง หนี้สินเพิ่ม-เงินในกระเป๋าหดหายรายปี
การผลิตและการค้าสินค้าเกษตรไทย ต่อรายได้รวมประเทศ(GDP)มีมูลค่า1,531,120 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง
8.81% ของ GDP รวมของประเทศ ขณะที่ประเทศไทยใช้พื้นที่ทำการเกษตร 149.75 ล้านไร่ มีสัดส่วนสูงถึง 46.69 %ของพื้นที่
ทั้งประเทศ
รวมถึงมีแรงงานภาคเกษตรจำนวน 11.63 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยที่มีอายุเฉลี่ยที่ 58.46 ปี
ภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ติดตามและศึกษาสถานการณ์เศรษฐกิจครัวเรือนภาคเกษตร เพื่อยกระดับและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
นำไปสู่การแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์” ซึ่งเป็น 1 ใน 9 คณะอนุกรรมการที่ดูแลลงลึกในแต่ละภารกิจ ภายใต้คณะกรรมการบูรณาการนโยบายเชิงรุกกระทรวงพาณิชย์
สำหรับผลการศึกษาครัวเรือนเกษตรไทย พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 –2565) รายได้ครัวเรือนเกษตรของไทยเติบโตอย่างอ่อนแรง เนื่องจากภาวะหนี้สินของเกษตรกรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงเวลาที่จะต้องเร่งเครื่องยกระดับและเพิ่มรายได้เกษตรกร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพลิกวงการการเกษตรไทยในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจครัวเรือนเกษตร พบว่าในช่วง 3 ปี รายได้ที่ครัวเรือนได้รับจากกิจกรรมทางการเกษตรขยายตัวเล็กน้อย 3.81% ต่อปี) เมื่อเทียบกับรายจ่ายที่มีการขยายตัวสูงกว่า 6.30% ต่อปี เช่นเดียวกับภาวะหนี้สินที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 1.45 %ต่อปี ส่วนเงินสดคงเหลือก่อนการชำระหนี้ (รายได้หักรายจ่าย) หดตัวลง 0.25%ต่อปี และทรัพย์สินหดตัวลง 8.19%ต่อปี
“หากพิจารณาในระยะใกล้ โดยนำสถานการณ์เปรียบเทียบปี 2565กับปี 2564 พบว่ารายได้ที่ครัวเรือนได้รับจากกิจกรรมทางการเกษตร ขยายตัว10.28% และภาวะหนี้สินของเกษตรกรก็ขยายตัว 3.49% ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีแต่เงินสดคงเหลือก่อนการชำระหนี้และทรัพย์สินของเกษตรกรยังคงหดตัวหดตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง3 ปี”
ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า จากที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนถึงปัญหา อุปสรรค และความท้าทายในภาคเกษตรไทย ในประเด็นหลักๆ ได้แก่ ภาคเกษตรไทยมีผลิตภาพต่ำ แรงงานภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลงและอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ปัญหาการบริหารจัดการน้ำเรื้อรังต้นทุนการผลิตสูงและต้องพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ ยังพบว่า เกษตรกรมีข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนสินค้าปัญหาขาดความรู้ด้านการแปรรูปและการเก็บรักษาสินค้าเกษตร และปัญหาด้านการค้าและการตลาด อาทิ การพึ่งพา ตลาดหลักเพียงไม่กี่ประเทศ สินค้าเกษตรส่งออกขาดความหลากหลายและส่วนใหญ่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรขั้นต้นที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย ตลอดจนปัญหามาตรการและอุปสรรคทางการค้าของประเทศคู่ค้า
ดังนั้น จึงกำหนดแนวทางการยกระดับและเพิ่มรายได้เกษตรกร มีข้อเสนอ 16 แนวทาง ประกอบด้วยแนวทาง “7 สร้าง 3 กระตุ้น 6 พัฒนา” ดังนี้
“7 สร้าง” ได้แก่ 1 .สร้างโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรให้มีความหลากหลาย และเป็นที่ต้องการของตลาด 2. สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนการผลิต3. สร้างโครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ
4.สร้างปัจจัยการผลิตภายในประเทศเพื่อลดการน าเข้า เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ 5. สร้างความเข้มแข็งแก่สหกรณ์การเกษตร เป็นตัวแทนรวบรวมผลผลิตของสมาชิกจ าหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ และสหกรณ์ฯ สามารถของบประมาณภาครัฐซื้อเครื่องจักร/เทคโนโลยีการเกษตรเพื่อใช้ในกลุ่ม 6. สร้างหลักประกันความมั่นคงทางรายได้เช่น ส่งเสริมการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรและระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม และ 7. สร้างการเชื่อมโยงการผลิตสินค้าเกษตรสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
“3กระตุ้น” ได้แก่ 1. กระตุ้นงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร ทั้งด้านพันธุ์พืชและวิธีการผลิต 2. กระตุ้นการลงทุนในภาคการเกษตร และ 3. กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
“6 พัฒนา” ได้แก่ 1. พัฒนาศักยภาพเกษตรกรและชุมชนเกษตรกรอาทิ การทำเกษตรอัจฉริยะและเกษตรคาร์บอนต่ำ 2. พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการภาคการเกษตร สู่การค้าออนไลน์และกฎระเบียบทางการค้าสินค้า 3. พัฒนาการตลาดและประชาสัมพันธ์ อาทิ ตลาดชุมชน ตลาดออนไลน์ และอินฟลูเอนเซอร์สินค้าเกษตร
4. พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและการแปรรูป 5. พัฒนาฐานข้อมูลด้านเกษตร ที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตและการตลาดและ 6. พัฒนาระบบขนส่ง โลจิสติกส์และคลังสินค้าเกษตร
“จากการศึกษาของ สนค. เห็นว่ารายได้ภาคการเกษตรที่เติบโตแบบอ่อนแรงนี้มีส่วนทำให้ครัวเรือนเกษตรมีภาระหนี้สินสูงขึ้น ดังนั้น ภาคเกษตรของไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอกหลายด้าน”
ความพยายามเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรไทยในระดับครัวเรือนเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งทำเพราะที่ดินเกือบครึ่งของไทยใช้ไปเพื่อการเกษตร แต่รายได้จากทรัพยากรและอายุเกษตรของเกษตรกรกำลังอ่อนแรงลงไปทุกที