ความเห็น ‘แบงก์ชาติ’ ในรายงาน ป.ป.ช. ตั้ง 4 ประเด็นเฝ้าระวัง ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’
เปิดความเห็นธปท.รายงาน ป.ป.ช.การเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ตั้ง 4 ประเด็นเฝ้าระวัง ชี้ต้องมีเงินรองรับเต็มจำนวนตั้งแต่วันเริ่มโครงการ เพื่อไม่ให้ผิด พ.ร.บ.เงินตรา หรือเข้าข่ายการเสกเงิน ติงระวังการรั่วไหล ทุจริตเชิงนโยบาย
รายงานเรื่อง “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet” ที่จัดทำโดยคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000บาท ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานได้มีการสรุปผลการศึกษาวิเคราะห์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ส่งให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่เพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลต่อไป
คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่าเศรษฐกิจของประทศไทยในปี พ.ศ. 2567 จะขยายตัว 2.8% และปี พ.ศ. 2567 ขยายตัว 4.4% ซึ่งตัวเลขนี้มีการรวมผลของ ดิจิทัลวอลเล็ต เข้าไปด้วย โดยแรงส่งเศรษฐกิจที่สำคัญคือการบริโภคภาคเอกชน เพราะปี พ.ศ.2566 การส่งออกสินค้าจะเป็นตัวที่ติดลบ อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ ภายในประเทศและมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว
โดยคาดว่าการส่งออกจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ รวมทั้งมีแรงส่งเพิ่มเติมของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี พ.ศ.2566 อยู่ที่1.6% และปี พ.ศ.2567 อยู่ที่ ร้อยละ2.6% โดยในปี พ.ศ. 2566 ที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมีมาตรการการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐชั่วคราว โดยอัตราเงินเฟ้อในปี พ.ศ. 2567 ที่คาดการณ์อยู่ที่ 2.6% ได้คำนวณรวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เข้าไว้ด้วยแล้ว หากไม่รวมนโยบายดังกล่าว ตัวเลขเงินเฟ้อก็จะต่ำกว่า 2.6%
ระบบล็อกเชนยังไม่ถูกนำมาใช้จริงในไทย
ปัจจุบันในประเทศไทยไม่มีธนาคารใดที่ใช้บล็อกเชนในการประกอบธุรกิจ แต่อาจจะมีกรณีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการทำธุรกรรมหลังบ้าน ในเรื่องดังกล่าวนี้ ต้องแยกเป็นประเด็นคือ กรณีธนาคารนำบล็อกเชนมาใช้ในการประกอบธุรกิจหรือนำมาใช้ป็นเงินดิจิทัลเท่าที่ทราบคือ ยังไม่มีกรณีดังกล่าว แต่มีการทดสอบนำมาใช้ในระบบหลังบ้านกับการออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (LG) และ ในอนาคตหากมีการพัฒนานำเงินดิจิทัลมาใช้จ่ายเป็นเงินอีกสกุลหนึ่งก็จะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เนื่องจาก
ปัจจุบันกฎหมายเงินตรากำหนดให้การใช้จ่ายเงินมีเพียง 2 รูปแบบ ได้แก่ ธนบัตร และเหรียญกษาปณ์เท่านั้น ซึ่งหากมีการพัฒนาระบบจนสำเร็จก็อาจจะเป็นรูปแบบหนึ่งที่นำมาต่อยอดเป็นรูปแบบการชำระเงินที่สามารถจะใส่เงื่อนไขต่าง ๆ เข้าไปได้ แต่หากยังพัฒนาระบบไม่สำเร็จมองว่าไม่อาจจะนำมาต่อยอดได้
หากการดำเนินนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน1 หมื่นบาท ผ่านกระเป๋าเงินวอลเล็ตเป็นกรณีที่ไม่มีตัวงบประมาณสำรองในระบบ แต่ออกมาเป็นลมแล้วให้หมุนการใช้จ่ายไปโดยสร้างกลไกจูงใจว่าไม่อยากให้มาแลกเปลี่ยนเป็นตัวเงินเร็วนัก ซึ่งจะให้มาขึ้นเงินได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเข้ามาในระบบแล้ว และจะมีการให้ค่าตอบแทนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนั้นเป็นกรณีที่ไม่มีตัวเงินมารองรับในระบบจะมีลักษณะเป็นการเสกเงินผิด พ.ร.บ. เงินตรา ในส่วนที่มีการจูงใจว่าจะมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนก็มีข้อสังเกตว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายหรือไม่
ตัวเลขลงทุน และส่งออกสินค้าไทยต่ำ
เมื่อพิจารณาอัตราตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยย้อนหลัง 10 ปี จะเห็นชัดว่า การลงทุนภาคเอกชนเติบโตเฉลี่ย อยู่ที่ 1.6% และการส่งออกสินค้าที่เติบโตเพียง 1.5% ซึ่งจะเห็นว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในหมวดอื่น ๆ รวมทั้งค่าเฉลี่ยของจีดีพีที่เติบโต 1.9% จึงต้องยกระดับตัวเลขกรลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าดังกล่าวให้ดีขึ้น
โดยควรเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัล และการปรับเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวให้สอดคล้องกับกระแสโลกเพื่อให้ยังรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ ในส่วนของความเห็นอื่น ๆ ก็จะสอดคล้องกับที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กล่าวไว้
ตั้ง 4 ประเด็นเฝ้าระวัง
ทั้งนี้สิ่งที่ควรระมัดระวังในการดำเนินโครงการของรัฐบาลนอกจากเรื่องหนี้สาธารณะแล้วสิ่งที่พึงระมัดระวัง 4 ประเด็นคือ
1.การพิจารณาของคณะกรรมการโครงการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง (due care / due process) ทั้งอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการ เป็นไปตามกรอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการที่กฎหมายกำหนด / สอดคล้องและไม่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ
2.การกำหนดสิทธิในดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชน และร้านค้าสามารถใช้จ่ายหมุนเวียนได้ ต้องไม่เป็นการเสกเงิน เพราะจะขัดกับกฎหมายเงินตราที่กำหนดให้เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (legal tender) มีเพียง 2 รูปแบบ ได้แก่ ธนบัตร และเหรียญกษาปณ์ โดยกฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้ หรือ นำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใด ๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี (ซึ่งการอนุญาตจะทำ ได้เพียงเท่าที่จำเป็นและต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์กฎหมายที่ประสงค์ให้มีระบบเงินตราของประเทศ เพียงระบบเดียวตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่63/2551)
3.ต้องมีงบประมาณรองรับเต็มจำนวนและมีแหล่งที่มาของเงินชัดเจนในวันเริ่มโครงการ และต้องมีเงินพร้อมจ่ายให้ร้านค้าได้ทันที และเต็มจำนวนในวันที่ร้านค้ามาใช้สิทธิเพื่อขอถอนเงิน โดยหากมี งบประมาณไม่เต็มจำนวน ส่วนที่ขาด ถือเป็นการสร้างวัตถุแทนเงินตราเป็นความผิดกฎหมายเงินตรา และอาจผิดกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารและการใช้จ่ายงบประมาณ
และ 4.ประเด็นอื่นๆ ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่อาจเกิดการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เช่น ความเสี่ยงจากการรั่วไหลหรือการทุจริตที่คาดหมายได้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น การเอื้อประโยชน์แก่ คนบางกลุ่ม
ความเสี่ยงในการตรวจสอบสิทธิ์ของประชาชนและร้านค้าในการเข้าร่วมโครงการ (ร้านค้าม้า) การกำหนดเงื่อนไขสินค้าที่เข้าข่าย และการ cash out ที่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์กับคนบางกลุ่ม การขายลดสิทธิระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการอย่างรอบด้านและมีแนวทางป้องกันการทุจริต รวมถึงกระบวนการตรวจสอบเพื่อปิดความเสี่ยงอย่างชัดเจน