กยศ.คาดหนี้เสียแสนล้านทยอยลดหลังปรับวิธีคำนวณหนี้ใหม่

กยศ.คาดหนี้เสียแสนล้านทยอยลดหลังปรับวิธีคำนวณหนี้ใหม่

ผู้จัดการกยศ.เผย ยอดหนี้เสียพุ่งแสนล้าน เหตุดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินฝาก ทำให้ลูกหนี้หันไปชำระหนี้อื่นที่ดอกเบี้ยสูงกว่า ขณะที่ คาดหนี้เสียจะทยอยลดลงหลังปรับวิธีคำนวณการชำระหนี้ใหม่ โดยเงินที่นักศึกษานำมาชำระจะถูกนำไปตัดต้นเงินกู้ทันที

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)เปิดเผยว่า ยอดหนี้เสียของกองทุนในปัจจุบันมีราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวนับจากปี 2560 ที่มีหนี้เสียอยู่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แต่ประเมินว่า ยอดหนี้เสียดังกล่าวจะทยอยลดลง หลังจากที่กองทุนได้ปรับวิธีการคำนวณการชำระหนี้ใหม่

สำหรับสาเหตุที่หนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยของกยศ.ที่คิดในอัตราต่ำเพียง 1% ขณะที่ ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของ กยศ. ดังนั้น จึงมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่อาจจะมีภาระหนี้หลายทาง ไม่ว่าหนี้บ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนรถยนต์ เลือกที่จะชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงก่อนการชำระหนี้ให้กับ กยศ.

ขณะเดียวกัน ในแต่ละปี กยศ.ก็ยังคงปล่อยเงินกู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ต้องการเงินกู้เพื่อการศึกษา ซึ่งในแต่ละปี กยศ.ต้องปล่อยเงินกู้ราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินที่ปล่อยกู้ใหม่ในทุกปีดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็กลายเป็นหนี้เสีย เข้ามาสะสม ปัจจุบันสินเชื่อคงค้างของ กยศ.อยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท โดยมีลูกหนี้ 3.5 ล้านคน

ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาฉบับใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ในปีที่แล้ว ได้ปรับวิธีการคำนวณหนี้ใหม่ จากเดิมในกรณีที่ลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้ต่อกองทุน และภายหลังมีการทยอยชำระเข้ามา  เงินที่ชำระเข้ามา จะต้องนำไปตัดค่าปรับการผิดนัดชำระหนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็นำมาตัดดอกเบี้ยที่ค้างชำระ สุดท้ายจึงมาตัดเงินต้น ทำให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ค้างชำระ เมื่อนำเงินเข้ามาชำระหนี้ เงินต้นจะลดลงน้อยมาก แต่การคำนวณหนี้ใหม่ เมื่อมีการชำระเข้ามา เงินนั้นจะไปตัดที่เงินต้นก่อน แล้วจึงค่อยมาตัดภาระดอกเบี้ยค้าง และสุดท้ายมาตัดที่ค่าปรับ

นอกจากนี้ ตามกฎหมายใหม่ ยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา โดยตามกฎหมายเดิม กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% ต่อปี  แต่กฎหมายใหม่ กำหนดให้ ไม่เกิน 1% ต่อปี หมายความว่า จะกำหนดให้ต่ำกว่า 1% ก็ได้ ส่วนค่าปรับกรณีผิดนัดชำระหนี้นั้น กฎหมายเดิม กำหนดให้คิดค่าปรับ 7.5% แต่กฎหมายใหม่ คิดเพียง 0.5 % เท่านั้น ซึ่งการคำนวณหนี้แบบใหม่ดังกล่าว จะทำให้ลูกหนี้ ต้องการมาชำระหนี้ที่ค้างอยู่ มากขึ้น เนื่องจากภาระหนี้จะลดเร็วกว่าเดิม

ทั้งนี้ หากว่า ผู้กู้ยืมเงินมีเงินส่วนที่ชำระเกินจากยอดหนี้ที่ปรับปรุงใหม่ กองทุนจะพิจารณาคืนเงินส่วนเกินที่เกิดจากการได้รับชำระหนี้ให้แก่ผู้กู้ยืมเงิน แต่หากปรากฏว่าผู้กู้ยืมเงินยังมียอดหนี้คงเหลือ ผู้กู้ยืมเงินจะต้องชำระหนี้ตามยอดหนี้คงเหลือคืนกองทุนตามตารางผ่อนชำระหนี้ที่กองทุนจะกำหนดต่อไป

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ดำเนินงานของกองทุนกยศ.นั้น ณ วันที่ 30 พ.ย.2566 กยศ.มีผู้กู้ยืมทั่วประเทศทั้งสิ้น 6.8 ล้านราย คิดเป็นเงินให้กู้ยืม 7.52 แสนล้านบาท โดยมีลูกหนี้ที่อยู่ในช่วงการศึกษาหรือปลอดหนี้จำนวน 1.4 ล้านราย ชำระหนี้เสร็จสิ้น 1.8 ล้านราย อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3.5 ล้านราย เสียชีวิตและทุพพลภาพ 7.2 หมื่นราย

ส่วนข้อมูลการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมนั้น มีผู้กู้ที่ไม่นัดชำระหนี้จำนวน 3.12 ล้านราย หรือราว 58% โดยชำระปิดบัญชีจำนวน 1.8 ล้านราย ชำระหนี้ตามปกติ 1.3 ล้านราย ส่วนผู้กู้ที่ผิดนัดชำระหนี้มีจำนวน 2.2 ล้านราย หรือ 41%  คิดเป็นเงินต้นที่ผิดนัดชำระจำนวน 9.74 หมื่นล้านบาท

สำหรับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จัดตั้งขึ้นตาม มติครม.เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2538 โดยให้เป็นกองทุนหมุนเวียน ตามพ.ร.บ.เงินคงคลังปี 2491 อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนให้ความสนใจกู้เงินจากกองทุนนี้มากขึ้น ต่อมาจึงได้มีการออก เป็น พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาปี 2541 โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังมีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา