วัดใจ 'พีระพันธุ์' ต่อเวลาจ่ายเงินชดเชย 'น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ'
จับตา "พีระพันธุ์" ชงครม. ขยายเวลาลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพรอบแรกจะสิ้นสุดวันที่ 24 ก.ย. 2567 ชี้ชะชากลุ่มเกษตรกร
Key points
- "สกนช." เตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์หากต้องยกเลิกการชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
- มาตรการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 24 ก.ย. 2567 นี้
- เชื้อเพลิงชีวภาพช่วยสร้างรายได้ กระจายสู่ภูมิภาค สร้างความมั่นคงทางพลังงานจากการลดการนำเข้า เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพทั้งไบโอดีเซลและเอทานอลในการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์อื่นที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์หากต้องยกเลิกการชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในที่สุดตามกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวบรวมข้อมูลแล้วเสร็จจะมีการนำเสนอไปยังที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายยกรัฐมนตรี เป็นประธาน และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามขั้นตอนก่อนที่จะสิ้นสุดการขยายระยะเวลาจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 24 ก.ย. 2567
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2565 เห็นชอบตามมติที่ประชุม กพช. เรื่องการขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี จนถึงวันที่ 24 ก.ย. 2567 เนื่องจากกระทรวงพลังงาน พิจารณาแล้วเห็นความจำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป เพื่อเป็นกลไกรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยการสร้างส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตรกร
สำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งเป็น ไบโอดีเซลซึ่งเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลและเอทานอลซึ่งเป็นส่วนผสมในน้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ซึ่ง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มีบทเฉพาะกาล ระบุว่า นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ การจ่ายเงินชดเชยแก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งดำเนินการมาก่อนหน้านี้ให้ดำเนินต่อไปอีก 3 ปีนับตั้งแต่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับ โดยทยอยลดการจ่ายเงินชดเชยทุกรอบระยะเวลา 1 ปี แต่หากมีความจำเป็นต้องขยายเวลาออกไป กพช. เสนอต่อ ครม.ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ๆ ละไม่เกิน 2 ปี
สำหรับ โรงงานผลิตเอทานอลในประเทศปี 2564 มีจำนวน 26 โรง โดยเป็นโรงงานผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล 11 โรง มันสำปะหลัง 10 โรง และไฮบริด 5 โรง รวมกำลังการผลิต 6 ล้านลิตรต่อวัน
ทั้งนี้ สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้ประเมินผลประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอลข้อมูลปี 2563 พบว่า
ด้านความมั่นคงพลังงาน ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐานมูลค่าประมาณ 9,900 ล้านบาทต่อปี
ด้านเศรษฐกิจ เกิดการกระจายรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังประมาณ 17,600 ล้านบาทต่อปี รายได้ส่วนเพิ่มจากการแปรรูปสินค้าเกษตร 12,300 ล้านบาทต่อปี โรงงานผลิตเอทานอล 34,250 ล้านบาทต่อปี ผู้ค้าน้ำมัน 6,200 ล้านบาทต่อปี
ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.7 ล้านตันต่อปี
ในช่วงที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีบทบาทในการช่วยพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพมาอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างรายได้จากอุตสหากรรมเชื้อเพลิงชีวภาพกระจายสู่ภูมิภาค สร้างความมั่นคงทางพลังงานจากการลดการนำเข้า เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร สร้างตลาดในประเทศ เกิดการจ้างงานใหม่และเพิ่มความมั่นคงทางแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เกิดโครงสร้างพื้นฐานต่อยอดไปสู่ Bio Economy และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก