รัฐบาลลุย“เงินดิจิทัล”เต็มสูบ “ภูมิธรรม”ชี้ใครค้านต้องรับผิดชอบ

รัฐบาลลุย“เงินดิจิทัล”เต็มสูบ “ภูมิธรรม”ชี้ใครค้านต้องรับผิดชอบ

“ภูมิธรรม” เผยรัฐบาลเดินหน้าเงินดิจิทัล ไม่ล้มนโยบาย ชี้ใครค้านต้องรับผิดชอบ ระบุเศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤติ ชูแนวคิดนอกกรอบ กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ เพื่อสิ่งใหม่ เปิดโปรเจกต์ใหญ่เชิญอินฟลูเอนเซอร์จีน ลุยเมืองไทย พ.ค.นี้โปรโมทสินค้าไทย

Key Points

  • “ภูมิธรรม” ยืนยันรัฐบาลพร้อมที่จะเดินหน้านโยายแจกเงินดิจิทัลต่อถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย
  • รัฐบาลมองเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤติ จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นและผู้คัดค้านการแจกเงินดิจิทัลต้องรับผิดชอบ
  • กระทรวงพาณิชย์ผลักดันการส่งออกปี 2567 ให้ขยายตัว 2% เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้
  • ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเรียนรู้ระเบียบโลกใหม่ในการค้าต้องเป็นธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่มีความยั่งยืน

รัฐบาลได้ขับเคลื่อนการบริหารประเทศมาแล้ว 5 เดือน โดยได้ผลักดันหลายนโยบายระยะสั้นหลายโครงการ เช่น การดูแลค่าครองชีพการการดูแลราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้าและก๊าซ ในขณะที่นโยบายการการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากที่หาเสียงไว้ว่าจะให้คนไทยที่อายุ 16 ปี ขึ้นไปทุกคน

ที่ผ่านมารัฐบาลยืนยันมาตลอดถึงการผลักดันการแจกเงินดิจิทัล ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงความเห็นคัดค้านในวงกว้าง โดยเฉพาะความเห็นของคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลกรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่จัดตั้งโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

รายงานดังกล่าวได้แสดงความกังวลถึงการดำเนินออก พ.ร.บ.กู้เงิน 560,000 ล้านบาท ที่อาจขัดกฎหมาย ความถึงกังวลถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ และสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยังไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้สัมภาษณ์ ”กรุงเทพธุรกิจ” ถึงการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที เพราะรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และเป็นประเด็นที่หาเสียงไว้ และยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าเรื่องนี้แน่นอน 

รวมทั้งจะเป็นวิธีสำคัญที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาประชาชนแต่รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้เศรษฐกิจขยายขึ้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้ว และรัฐบาลยินดีรับฟังเพิ่ม 

“วันนี้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจประชาชนเดือดร้อนจึงต้องรีบทำ ดิจิทัลวอลเล็ตจะไม่ลดวงเงินหรือลดขนาด โดยจะเป็นตามที่ประกาศไว้ เพราะหากลดจะไม่ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ซึ่งเงินงบประมาณและที่มาของเงินเปลี่ยนแปลงได้ แต่วงเงินยังคงเดิม”

รวมทั้งปัจจุบันไม่เฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจแต่ไทยกำลังก้าวสู่วิกฤติการเงินดูได้จากตลาดหุ้น ธนบัตร การลงทุน และหากย้อนรอยไปในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่ไม่มีใครคิด และไม่มีเค้าลางจะเกิดขึ้นแต่เมื่อเกิดขึ้นทุกอย่างพังทลายทันที 

นอกจากนี้หากรัฐบาลไม่ดำเนินการและปล่อยจนเกิดเหมือนวิกฤติต้มยำกุ้งจะส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อประเทศ ซึ่งผู้ที่คัดค้านจะต้องประกาศความรับผิดชอบ ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบสิ่งที่พูดและสิ่งที่ทำ 

"ผมอยากให้ทุกคนที่อยากจะต่อต้านการกระทำของรัฐบาลให้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย นักเศรษฐศาสตร์หลายคนบอกว่าถ้าไม่ทำอะไรตอนนี้เลย โอกาสที่จะเกิดต้มยำกุ้งจะตามมา”

ทั้งนี้ รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นมากพอแล้วจึงจะเดินหน้าเต็มที่ ส่วนข้อทักท้วงของคณะกรรมการกฤษฏีกาขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมาย ขณะที่ข้อเสนอ ป.ป.ช.ยังไม่ทราบว่าจะมีข้อเสนอหรือไม่ แต่หากเป็นไปตามเอกสารที่เคยปรากฎในสื่อก่อนหน้านี้ ถือเป็นข้อมูลสำรอง เพราะไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลกระทำผิดและถูกร้องให้หยุดการกระทำ

นอกจากนี้ ในบทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้ามาขับเคลื่อนการส่งออกที่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ โดยปี 2567 การส่งออกไทยต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ล่าสุดสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ต่อเนื่องมาถึงการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะแลแดงทำให้เรือต้องเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปจึงต้องเพิ่มเวลาเดินทางขึ้น 

รวมทั้งทำให้ค่าระวางเรือปรับสูงขึ้น ปัญหานี้ทางกระทรวงพาณิชย์ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชนเพื่อหาแนวทางรับมือ ซึ่งบอกไม่ได้ว่าสถานการณ์จะยุติเมื่อใด จึงถือเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่กระทบการส่งออกไทย 

กระทรวงพาณิชย์ยังวางเป้าหมายการส่งออกปี 2567 ขยายตัว 2% โดยวางแนวทางการผลักดันการส่งออกด้วยการ ”รักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่” ซึ่งตลาดเดิมที่สำคัญ คือ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น โดยเฉพาะจีนจะเจาะตลาดจีนเป็นรายมณฑล 7-8 มณฑล ซึ่งแต่ละมณฑลมีประชากร 100 ล้านคน รวมแล้ว 700-800 ล้านคน 

อย่างน้อยถือเป็นตลาดใหม่ที่ให้ทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดทำงานร่วมกัน ซึ่งทูตพาณิชย์ต้องไปหาอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศที่ประจำการ ส่วนพาณิชย์จังหวัดหาสินค้าเด่นในจังหวัดเพื่อส่งออก จากนั้นรวบรวมข้อมูลเป็น Directory เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น

“ผมเดินทางไปสหรัฐก็เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของสหรัฐ 25 คน มาทำคอนเทนต์อาหารไทย เช่น ผัดไทย เพื่อประชาสัมพันธ์อาหารไทยโดยไม่ต้องใช้จ่ายอะไร" 

หลังจากเปิดซีรีส์วายฟอร์มยักษ์ “ชาย (Shine)” ดึง “มาย-อาโป” โปรโมตสินค้าไทยก็มีโครงการใหญ่ 1 โครงการ คือ การเชิญอินฟลูเอนเซอร์จีน 35-50 มาไทย ซึ่งแต่ละคนมีผู้ติดตามกว่า 100 ล้านคน เพื่อมาโปรโมทสินค้าไทย โดยจะมาไทยเดือน พ.ค.นี้ รวม 10 วัน ซึ่งจะทำงานเพื่อเปิดขายสินค้าไทย เป็นการตลาดรูปแบบใหม่แต่จะไม่ทิ้งวิธีการเดิม 

นอกจากนี้การไปสหรัฐได้เยี่ยมบริษัท Sun Lee Inc ที่มีศูนย์กระจายสินค้า โดยสั่งซื้อสินค้าทางอีคอมเมิร์ซแล้วนำมาไว้ที่โกดังสินค้าและกระจายสินค้า ซึ่งนึกถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่ผ่านมาหาสินค้ามาขายจนเป็นปัญหา แต่ถ้าคลังงสินค้าของ อคส.จะรองรับสินค้าของเอสเอ็มอีได้ 

สำหรับระเบียบโลกใหม่ในการค้าต้องเป็นธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่มีความยั่งยืน ซึ่งเกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสินค้าเข้ากับระเบียบการค้าโลกใหม่ เพราะผู้บริโภคเป็นผู้กำหนดตลาด หากผลิตสินค้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อมหรือทำลายจะไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

ดังนั้นผู้ผลิตต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดรับระเบียบการค้าโลกใหม่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์วางระบบรองรนับไว้ โดยตั้งคณะอนุกรรมการ 9 ชุด มาขับเคลื่อน เพื่อเป็นการดึงข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ที่เก่งและมีความพร้อม และแก้ปัญหาโครงสร้างเดิมที่รวมคนเป็นไซโล เพื่อทำงานแบบบูรณาการ 

“ผมให้นโยบายว่าให้คิดนอกกรอบ ถ้าคิดแบบเดิมจะได้ผลแบบเดิม ให้คิดใหม่อย่างรอบคอบจะได้สิ่งใหม่ ต้องกล้าคิด กล้าทำและกล้ารับผิดชอบ อยากให้ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ยกระดับตัวเอง รู้สึกตัวเองมีคุณค่าและเชื่อมั่นในตัวเองยึดใน 3 C คือ Common connectivity และ Cando ทุกอย่างจะเดินหน้าได้”