ศุลกากรยึดเฮโรอีนซ่อนพัสดุไปรษณีย์ปลายทางออสเตรเลียมูลค่ากว่า 8.5 ล้าน
กรมศุลกากรตรวจยึดเฮโรอีนซุกซ่อนในพัสดุไปรษณีย์เตรียมส่งออกไปประเทศออสเตรเลีย น้ำหนัก 2.85 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 8.5 ล้านบาท ขณะที่ ยอดจับกุมยาเสพติดตั้งแต่ต้นปีงบ 67 มีทั้งหมด 55 ราย มูลค่ากว่า 309 ล้านบาท
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรพบการลักลอบส่งยาเสพติดออกนอกราชอาณาจักรไปยังต่างประเทศ มีแนวโน้มที่ผู้กระทำความผิดจะเปลี่ยนวิธีการส่งออกจากเดิมที่มีการส่งออกจำนวนมากๆ ในแต่ละครั้ง เป็นทยอยส่งจำนวนน้อยลงทางพัสดุไปรษณีย์ เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ กรมศุลกากรจึงเฝ้าระวังการลักลอบการส่งยาเสพติดผ่านการขนส่งทางพัสดุไปรษณีย์ทั้งภายในและภายนอกประเทศทางอากาศยาน และช่องทางอื่น ๆ อย่างเข้มงวดมาโดยตลอด
ทั้งนี้ กรมศุลกากรร่วมกับชุดปฏิบัติการ AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE)ประกอบด้วย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดซุกซ่อนมาในพัสดุไปรษณีย์ ทั้งการนำเข้า – ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรและร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลักลอบส่งของต้องห้ามต้องกำกัดออกนอกราชอาณาจักร ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ
โดยเมื่อวันที่ 6 ก.พ.2567 พบพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงสูง มีการสำแดงชนิดสินค้า เป็น “OVALTINE” จำนวน 1 หีบห่อ ปลายทางประเทศออสเตรเลีย น้ำหนักรวม 5.290 กิโลกรัม จึงทำการเปิดตรวจกล่องพัสดุ พบ ขวดอาหารเสริมซึ่งไม่ตรงกับรายละเอียดที่มีการสำแดง จึงทำการตรวจสอบ ผลปรากฏว่าพบยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 เฮโรอีน (Heroine) ซุกซ่อนอยู่ภายในขวดอาหารเสริม จำนวน 4 ขวด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม ประมาณ 2,850 กรัม มีมูลค่ารวมประมาณ 8,550,000 บาท
กรณีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 มาตรา 166 และมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ประสานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อติดตามและขยายผลต่อไป
สำหรับสถิติการจับกุมยาเสพติด ปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 – 7 กุมภาพันธ์ 2567) มีทั้งหมด 55 ราย มูลค่ารวมประมาณ 309,565,580 บาท