สรท.จัดงานครบรอบ 30 ปี ชี้ ส่งออกไทยยังต้องเผชิญความท้าทายใหม่แนะปรับตัว
สรท.จัดงานครบรอบ 30 ปี ชูนโยบายสู่ชาติการค้า ปรับฉากทัศน์ส่งออกเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน ชี้ ส่งออกไทย ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเพียบ แนะเร่งปรับตัวรับมือ คงคาดการณ์เป้าปี 67 ขยายตัว 1-2 %
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้จัดงานประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 29 พร้อมกับงานครบรอบ 30 ปี เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประเด็นการส่งออกของไทยยังเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศอยู่หรือไม่ ภายใต้หัวข้อ “Reshaping Export: How to Thrive in Economic Turmoil?” และหัวข้อ “Shaping Thailand's Sustainable Future: Thai to Global Value Creation”
โดยวงเสวนา เห็นตรงกันว่า การส่งออกของไทยในระยะต่อไปมีข้อควรระวัง ตลอดจนปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบ อาทิ 1. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) จากการแบ่งขั้วอำนาจและการรวมกลุ่มพันธมิตรซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกรวมถึงผลกระทบต่อการส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีโอกาสที่จะทวีความรุนแรงแผ่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นในแต่ละภูมิภาคของโลก เป็นปัจจัยภายนอกไม่สามารถควบคุมและคาดการณ์ได้
2.ปัญหาโลกเดือด (Global Boiling) จะส่งผลให้ต้นทุนของอุปทานการผลิตสินค้าสูงขึ้นโดยเฉพาะปัจจัยการผลิตภาคการเกษตรสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งจะทำให้หลายประเทศให้ความสำคัญมากขึ้นกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และกำหนดมาตรการที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นตามมา
3.มาตรการกีดกันทางการค้าและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measure and Non-Tariff Barrier) โดยเฉพาะการอ้างเหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องควบคุม จำกัด และร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas: GHG) ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อาทิ นโยบาย European Green Deal ที่นำมาสู่มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) รวมถึงกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) และ Packaging and Packaging Waste Directive ของสหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลให้ประเทศอื่นเริ่มดำเนินมาตรการรูปแบบเดียวกัน
4.บทบาทของประเทศผู้ผลิตเพื่อการส่งออกรายใหญ่ ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ต่ำและกดดันราคาในตลาดโลกให้แข่งขันได้ยากมากขึ้น รวมถึงทิศทางการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า และการสร้างพันธมิตรในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างความมั่นคงและแต้มต่อในห่วงโซ่การผลิต ทำให้แต่ละประเทศต้องเร่งปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนในแต่ละประเทศเพื่อรักษาแรงดึงดูดการลงทุนใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีเข้าสู่ประเทศและเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน โดยเน้นตอบสนองความต้องการเป็นรายบริษัทหรือรายอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
นายชัยชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้ วงเสวนาให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการส่งออกของไทยในอนาคต เพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ประกอบด้วย 1. ปรับรูปแบบการค้าให้เน้นย้ำถึงหลัก QCD+S (Quality, Cost, Delivery, Sustainability) ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการ การควบคุมต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างแต้มต่อ การจัดส่งสินค้าที่ตรงตามเวลา และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลตอบแทนหรือกำไรทางธุรกิจ
แต่ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ Green Industry and Human Rights กระบวนการผลิตต้องเน้นย้ำในเรื่องของ การใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน และพัฒนาระบบ Lean and Green ที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดเพื่อให้แข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ โดยต้องดำเนินการตลอดซัพพลายเชนของการส่งออก สามารถตรวจสอบได้ (Traceability) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงานอย่างยั่งยืน
2.การใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน พัฒนาระบบ Lean and Green ที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดเพื่อให้แข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ โดยต้องดำเนินการตลอดซัพพลายเชนของการส่งออก สามารถตรวจสอบได้ (Traceability) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงานอย่างยั่งยืน
3. มาตรการส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion) ได้แก่ เร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อาทิ ระบบสาธารณูปโภค (ด้านน้ำประปา บำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า กำจัดขยะ) ระบบขนส่ง (ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ทางท่อ) และระบบการสื่อสาร (เครือข่ายโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต) รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ที่ตรงจุด เพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศและผลักดันการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษเดิม อาทิ EEC พร้อมปรับปรุงสร้างสิทธิประโยชน์ด้าน Innovation และ Sustainability เพื่อตอบโจทย์ตามทิศทางการค้าโลกที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน
4. ผลักการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยมุ่งเน้นประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) ที่มีศักยภาพ และเจาะตลาดกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ให้มากขึ้น 5.สร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีทักษะสอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ และมีไอเดียสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการค้า เพื่อส่งเสริมการส่งออกที่มีคุณภาพ ดึงดูดการลงทุน และก่อเกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
6. ยกระดับสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสำหรับส่งออก เนื่องจากดัชนี Global Value Chain Participation Rate ของประเทศไทยเท่ากับ 52% ยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย 68% และเกาหลีใต้ 63% รวมถึงต้องเร่งยกระดับให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการระดับ SMEs ไปพร้อมกัน
7. ยกระดับการทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนจากการแข่งขันด้วย Economy of Scale เป็น Economy of Speed ตามทิศทางในปัจจุบันที่ต้องเน้นการทำงานที่รวดเร็ว โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เร่งพัฒนาบุคลากรภาครัฐรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และทำงานเชิงลึกร่วมกันมากขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจการส่งออกมีจุดยืนที่โดดเด่นบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตามจากการประชุมยังมองว่าการส่งออกของประเทศไทยยังคงเติบโตในอนาคตแต่ต้องมีการปรับตัวให้เร็วเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกและการแข่งขันมาก ดังนั้น สรท. คงคาดการณ์เป้าหมายการทำงานด้านการส่งออกรวมทั้งปี 2567 เติบโตที่ 1-2%