สทนช.บูรณาการสร้างความมั่นคงน้ำEECให้ยั่งยืน การันตีรอดแล้ง-ต้นฝน

สทนช.บูรณาการสร้างความมั่นคงน้ำEECให้ยั่งยืน การันตีรอดแล้ง-ต้นฝน

สทนช.สร้างความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่EECเดินหน้าการบูรณาการบริหารจัดการ เร่งขับเคลื่อนสร้างสมดุลในจัดสรรvย่างยั่งยืนให้ทุกภาคส่วน ทั้งการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการเกษตร มั่นใจน้ำมีพอใช้ตลอดช่วงฤดูแล้งนี้ และมีสำรองใช้ในช่วงต้นฤดูฝนและภาวะฝนทิ้งช่วง

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ในฐานะโฆษก สทนช. เปิดเผยว่า จากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้ก่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอย่างเด่นชัดในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และถือเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีเพียงพอตามลำดับความสำคัญตลอดฤดูกาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพราะเป็นฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ

สทนช.ได้ดำเนินการวางแผนการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านน้ำที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้น้ำซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ EEC โดยยึดหลักการจัดสรรน้ำอย่างสมดุลตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDG)ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

สทนช.บูรณาการสร้างความมั่นคงน้ำEECให้ยั่งยืน การันตีรอดแล้ง-ต้นฝน

สำหรับการบริการจัดการน้ำในพื้นที่EECช่วงฤดูแล้งปีนี้ จะใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในการผันน้ำเชื่อมโยง3จังหวัดคือ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และ จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้สามารถป้องกันผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนในพื้นที่มีน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค เช่นเดียวกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรสวนผลไม้ ที่ได้รับการจัดสรรน้ำอย่างพอเพียง

โดยในส่วนของอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง มีปริมาณน้ำใช้การ145ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)มีความต้องใช้น้ำในระบบของอ่างเก็บน้ำประแสร์ประมาณ28ล้าน ลบ.ม.และผันน้ำไปยังกลุ่มอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล-คลองใหญ่-ดอกกราย จ.ระยอง จำนวน8ล้าน ลบ.ม.รวมใช้น้ำ36ล้าน ลบ.ม.เหลือน้ำในระบบสำรองไว้109ล้าน ลบ.ม.

ส่วนกลุ่มอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล-คลองใหญ่-ดอกกราย มีปริมาณน้ำใช้การรวม145ล้าน ลบ.ม.รวมกับน้ำที่ผันมาจากอ่างเก็บน้ำประแสร์อีก8ล้าน ลบ.ม.รวมปริมาณน้ำใช้การ153ล้าน ลบ.ม.มีความต้องการใช้น้ำพื้นที่รวม36ล้าน ลบ.ม.เหลือน้ำสำรองในระบบ117ล้าน ลบ.ม.

ในขณะที่กลุ่มอ่างเก็บน้ำบางพระและอ่างเก็บน้ำหนองค้อ รวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก5แห่ง ในพัทยา จ.ชลบุรี มีปริมาณน้ำใช้การรวม61ล้าน ลบ.ม.มีความต้องการใช้น้ำ15ล้าน ลบ.ม.เหลือน้ำสำรองในระบบ46ล้าน ลบ.ม.

 

ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งแล้วจะเหลือปริมาณน้ำสำรองในระบบโครงข่ายน้ำตะวันออก รวม272ล้าน ลบ.ม.ซึ่งจะนำไปใช้เป็นปริมาณน้ำต้นทุนในช่วงต้นฤดูฝนปีนี้ และสำรองไว้ใช้ในกรณีที่เกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงด้วย ทั้งนี้ สทนช.จะติดตามการบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปตามข้อตกลงของคณะกรรมการลุ่มน้ำและแผนที่วางไว้

 

 

นอกจากนี้ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สทนช.ยังคำนึงถึงคุณภาพน้ำเป็นประเด็นที่สำคัญอีกด้วย เช่น ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา สทนช.ได้ประสานงานร่วมกับกรมชลประทานและการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาฉะเชิงเทรา ในการดึงน้ำจากบึงฝรั่งเพื่อมารักษาคุณภาพน้ำที่จุดสูบน้ำของ กปภ. บริเวณคลองพระองค์ไชยยานุชิต ให้มีมาตรฐานคุณภาพที่เหมาะสมต่อการผลิตน้ำประปาตลอดช่วงฤดูแล้งปีนี้ สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

“สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่EECเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคตนั้น มีโครงการที่สำคัญเช่น โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ ความจุ68.1ล้าน ลบ.ม.จะแล้วเสร็จปี2568และโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด ความจุ99.5ล้าน ลบ.ม.ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชนอกจากนี้ยังมีโครงการผันน้ำอ่างเก็บน้ำคลองพระสะทึง-อ่างเก็บน้ำคลองสียัด อีกด้วย ดังนั้นประชาชนจึงมั่นใจได้ว่า ในพื้นที่EECจะมีความมั่นคงด้านน้ำที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน”