หอการค้าไทยจับมืออินเด็กซ์ ฯ เตรียมจัดใหญ่ 4 งาน Fair ในกัมพูชาและซาอุฯ
หอการค้าไทยจับมือบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) จัด 4 งานยักษ์ใหญ่ปี 2567 ภายใต้ชื่อ International Mega Fair 2024 ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา และกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ปักธงบุก 2 ตลาดที่มีศักยภาพในภูมิภาคอาเซียนและตะวันออกกลาง คาด 4 งานสร้างมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้สร้างสรรค์ธุรกิจเทรดแฟร์และเอ็กซ์ซิบิชั่นมืออาชีพในระดับนานาชาติ เตรียมจัดงาน International Mega Fair 2024 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อเปิดเส้นทางสู่โอกาสทางธุรกิจในกัมพูชาและซาอุดีอาระเบียให้กับนักธุรกิจไทย
โดยประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ และ ความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาชายแดน และ การท่องเที่ยว โดยมุ่งเพิ่มปริมาณการค้าให้บรรลุเป้าหมาย 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 รวมไปถึงการพัฒนาการขนส่งสินค้าของทั้งสองประเทศ การผลักดันการท่องเที่ยวและการเดินทางข้ามแดน ความร่วมมือทางด้านแรงงาน ความมั่นคงทางพลังงาน
ขณะที่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย สภาหอการค้าฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนพันธกิจและความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศ ผ่านเวทีสภาธุรกิจไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อการสร้างโอกาสบุกตลาดศักยภาพสูงอย่างซาอุฯ รวมถึงผลักดันการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการค้าและการท่องเที่ยว มีการกำหนดสาขาธุรกิจเป้าหมายที่มีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ วัสดุก่อสร้างและบริการที่เกี่ยวข้อง อาหารและเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวและบริการ พลังงาน เพาะปลูกต้นไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องครัวและอุปกรณ์ ปุ๋ย ชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ทั้งนี้ มีการตั้งเป้าหมายขยายมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศในปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นไปถึง 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือเติบโตขึ้น 20% และตั้งเป้าเชิญชวนนักท่องเที่ยวซาอุฯ เดินทางเข้ามาไทยเพิ่มเป็น 4 แสนราย ในปี 2567 ซึ่งนักท่องเที่ยวซาอุฯ ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง สามารถสร้างรายได้ให้กับไทยได้จำนวนมาก
“สภาหอการค้าฯ เชื่อว่างานแสดงสินค้า International Mega Fair 2024 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียจะเป็นเวทีที่จะช่วยยกระดับสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสในการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่าง ผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ ผู้จัดจำหน่าย การเจรจาจับคู่ธุรกิจ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมนโยบาย Soft Power ของรัฐบาลไทย ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคอาเซียนและตะวันออกกลาง” นายสนั่น กล่าว
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้าและบริการของไทยระดับอาเซียนในปีนี้ เป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนและยกระดับมูลค่าสินค้าและบริการของประเทศไทย ซึ่งงานมหกรรม International Mega Fair 2024 เราได้รับการสนับสนุนการจัดงานอย่างต่อเนื่องจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ด้านการส่งออกและขยายตลาด ขับเคลื่อน SMEs ไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
สำหรับงาน International Mega Fair ในปีนี้ เราได้รวบรวมการแสดงสินค้าทั้งสิ้น จำนวน 4 งาน ประกอบด้วย Cambodia Architect & Dècor 2024, Cambodia Foodplus Expo 2024, และ Cambodia Health & Beauty Expo 2024 ซึ่งจะจัดในขึ้น วันที่ 2-4 ส.ค. 2567 ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการเกาะเพชร (Diamond Island Convention and Exhibition Center) กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และ งาน International Mega Fair 2024 - Riyadh ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย.2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติริยาด (Riyadh International Convention & Exhibition Center) กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยคาดว่ามูลค่าความสำเร็จจากการจัด International Mega Fair 2024 จะสูงถึง 2,000 ล้านบาท
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. เชื่อมั่นว่าการจัดงาน International Mega Fair ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จะเป็นเวทีสำคัญที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้ได้พัฒนาช่องทางการจำหน่าย และพัฒนาสู่ตลาดต่างประเทศ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการสู่สากล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจากผลงานในปีที่ผ่านมา มาตรการ SME ปัง ตังได้คืน ได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจขยายตลาดไปที่ซาอุฯ โดยภายในระยะเวลาการรับสมัครเพียง 2 เดือน มีผู้ประกอบการมากกว่า 30 ราย ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมมาตรการ BDS สร้างมูลค่าการค้ากว่า 270 ล้านบาท
นอกจากนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สสว. จึงจะปรับปรุงระบบ BDS เพื่อลดขั้นตอนการใช้บริการ อนุมัติได้รวดเร็วขึ้น ปรับการให้บริการโดยการเชื่อมโยงข้อมูลจากฐานข้อมูล SME One ID ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะทำให้สามารถจัดกลุ่มผู้ประกอบการได้รวดเร็วขึ้น และลดปริมาณเอกสารแนบที่ใช้ในการสมัครให้น้อยลง