หอการค้าไทยแนะ 3 แนวทางแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต
หอการค้าฯชี้ช่อง 3 แนวทางแจกเงินดิจิทัล“กลุ่มเปราะบาง-ใช้แอปเป๋าตังค์-ดึงร้านค้าท้องถิ่นเข้าระบบภาษี“ เกิดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจรวดเร็ว พร้อมเร่งสื่่อสารให้ประชาชนเข้าใจ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า เดิมรัฐบาลตั้งใจจะให้ Digital Wallet เกิดขึ้นช่วงเดือนพ.ค.ปีนี้ แต่ก็มีความห่วงใยเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งทำให้ต้องทบทวนให้รัดกุมมากขึ้นและขยับแผนใหม่ ตามที่รัฐบาลได้แถลงไป โดยหอการค้าฯ ก็มี 3 ประเด็นใหญ่ๆ ที่อยากจะให้ข้อสังเกตดังนี้
1. จากการดำเนินการของ Digital Wallet ที่จะเลื่อนไปเป็นไตรมาสที่ 4 นั้นทางหอการค้าฯ มองว่า”จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าไป” ซึ่งหากเป็นไปได้ อยากจะให้มีเร่งจัดสรรงบประมาณปี 67 โดยจัดสรรให้ “เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนก่อน” แล้วค่อยให้กลุ่มที่เดือดร้อนน้อยที่เหลือตามมาทีหลังในระยะต่อไป ก็จะช่วยเร่งการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยได้มากกว่าที่รอไปในไตรมาส4
2.การจัดทำ App ใหม่ (Super App) ส่วนนี้หอการค้าฯ เคยเสนอเรื่องการใช้ App เป๋าตัง เพราะประชาชนคุ้นเคย และได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าถึงประชาชนได้ และทำได้เร็ว ตามที่แจ้งไปในประเด็นแรกว่า มีกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนหากนำ app เป๋าตัง มาใช้แทนที่จะทำใหม่ ก็จะทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น การที่นำ super app มาใช้จะทำให้เกิดความยุ่งยากกับประชาชน และอาจจะเกิดความล่าช้า เพราะต้องไปทั้งเขียนและทดสอบระบบใหม่
3. เงินหมุนเวียนในจังหวัด ที่ต้องใช้ร้านค้าที่ลงทะเบียน ก็อยากให้รัฐบาลเปิดโอกาส และมีมาตรการจูงใจให้ร้านค้าที่ยังไม่เข้าระบบภาษี ได้เข้ามาเป็นทางเลือกให้ประชาชน ที่ต้องการส่งเสริมร้านค้าท้องถิ่น และร้านค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในจังหวัด หากร้านค้ากลุ่มนี้ได้เข้าสู่ระบบdigital wallet โดยสะดวกใจ เพราะกลุ่มนี้อาจจะกังวลเรื่องภาษีก็จะทำให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ ต้องการช่วย SMEs และเกิดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจได้รวดเร็ว
นายสนั่น กล่าวว่า โครงการนี้จะประสบผลสำเร็จและมีความสัมฤทธิ์ผลมาก ได้อยู่ที่ดำเนินการได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี และการใช้เงินในพื้นที่ จะเกิดเงินหมุนเวียนเร็วและหลายรอบ ซึ่งรอบแรก น่าจะใช้หมดภายใน 3-6 เดือน และ รอบต่อไปจะหมุนเวียนในพื้นที่ ดังนั้นหากดำเนินการช้า แทนที่จะได้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจ มากถึง 1.5-2% ในปีนี้ อาจจะเหลือแค่ เพิ่มเพียง 0.5% หากไปดำเนินการในไตรมาส 4 ในส่วนนี้เพื่อให้รัฐบาลได้ใช้เงินภาษี เงินงบประมาณของรัฐให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส และตรงวัตถุประสงค์ด้วย
"เอกชนเห็นถึงความตั้งใจดีของรัฐบาลแต่การสื่อสารให้ชัดเจน ในทิศทางเดียวกัน ยังเป็นการบ้านที่รัฐบาลต้องเน้นสื่อสารให้ชัดเจนทั่วถึง โดยเฉพาะการสร้าความเข้าใจกับประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้นเสนอให้มีช่องทางที่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการสามารถร้องเรียน หรือ แจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น จะช่วยให้โครงการนี้สัมฤทธิ์ผลได้มากขึ้น"นายสนั่น กล่าว