Krungthai COMPASS มองดิจิทัลวอลเล็ต ฟื้น GDP ดันเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบเต็มขั้น
Krungthai COMPASS ประเมินแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการ Quick-win กระตุ้น GDP โต 1.2-1.6% ชี้โอกาสผันเศรษฐกิจเข้าสู่ในระบบ ทั้งประชาชนและธุรกิจ ปูทางยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มขั้้น
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า โครงการ Digital Wallet ซึ่งรัฐบาลมีแผนว่าจะเริ่มดำเนินการโอนเงินให้กับผู้เข้าร่วมโครงการในช่วงไตรมาสที่ 4/2567 อาจเป็นแรงหนุนการฟื้นตัวต่อไปในระยะข้างหน้า
มาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Digital Wallet ถือเป็นเครื่องมืออัดฉีดเข้าระบบที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศซึ่งอยู่ในภาวะอ่อนแอ และช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางอุปสงค์ภายนอกประเทศที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยหลายด้าน
ซึ่งนโยบายดังกล่าวมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงระดับล่างให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มเติมผ่านร้านค้าปลีกในพื้นที่ใกล้บ้านจากการโอนเงินโดยตรง จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นต่ออุปสงค์ภายในประเทศผ่านเงินที่ถูกหนุนเวียน ทั้งจากผู้บริโภคไปยังร้านค้าปลีก และจากร้านค้าย่อยทอดต่อไปยังเครือข่ายของระบบการค้ารวมถึงผู้ผลิต
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการ Digital Wallet มีมูลค่าทั้งสิ้น 5.0 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% ของ GDP ซึ่งการโอนเงินโดยตรงถึงมือประชาชนเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและหนุนการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าปลีกในภูมิลำเนาของตนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งยังช่วยหนุนให้กิจกรรมการค้าปลีกรายย่อยเข้าสู่ระบบ อันจะเป็นที่มาของรายได้รัฐบาลในอนาคต อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการใช้จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ
GDP โตเพิ่ม 1.2-1.6%
ผลกระทบจากมาตรการนี้ต่อภาคเศรษฐกิจส่วนรวมจะเกิดขึ้นผ่านผลของตัวคูณทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ซึ่งสะท้อนกลไกของการจับจ่ายใช้สอยอันจะกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา คาดว่า ตัวคูณทวีทางการคลังอยู่ที่ประมาณ 0.4-0.7 เท่า และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ GDP โดยทางการประเมินไว้ที่ 1.2-1.6% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขซึ่งคณะกรรมการ กกร. เคยคาดไว้ที่ 1.0-1.5%
Krungthai COMPASS มองว่านโยบายนี้ถือเป็นมาตรการ Quick-win ที่จะผลักดันอุปสงค์ภายในประเทศให้สามารถฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งยังกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า สำหรับตัวเลขประมาณการจีดีพีปี 2567 ล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 2.6% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของสำนักวิจัยหลายแห่งนั้น ยังไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยบวกที่อาจเกิดเกิดขึ้นจากโครงการ Digital Wallet
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการดำเนินโครงการนี้ยังอาจต้องคำนึงผลของการโยกเงินงบประมาณ 2567 ผ่านการจัดสรรเม็ดเงินที่นำมาจากโครงการอื่น รวมถึง Crowding out effect จากต้นทุนทางการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้นตามการเร่งระดมทรัพยากรการเงินของภาครัฐ
โอกาสผันเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบ
เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 48.4% ของ GDP มากเป็นอันดับ 14 ของโลก จาก 158 ประเทศที่มีฐานข้อมูลของ World bank โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 32.7%
รวมทั้งยังสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบต่อ GDP เฉลี่ยเพียง 26.7%
ทั้งนี้ ข้อมูลประชาชนและธุรกิจ SME ที่อยู่ในระบบค่อนข้างน้อย ส่วนหนึ่งสะท้อนจากการมีผู้ที่อยู่ในฐานระบบภาษีน้อย จากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน มีผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 10-11 ล้านคน และมีธุรกิจนอกระบบจำนวนมาก โดยปัจจุบันนี้ มีจํานวน SME อยู่ราว 3.2 ล้านราย แต่เป็นนิติบุคคลเพียง 8.4 แสนราย หรือคิดเป็น 26% ซึ่งนั่นหมายความว่ามี SME จำนวนมากถึงเกือบ 2.4 ล้านราย หรือ 74% ที่ไม่มีข้อมูลงบการเงินในระบบฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ซึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่มักจะเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมหลายด้าน โดย จากการศึกษาของ World Bank พบว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่มักจะมีรายได้ต่อหัวในระดับต่ำกว่า มีปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำสูงกว่า มีการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลที่แย่กว่า มี Productivity ทั้งมิติของภาคธุรกิจและแรงงานที่ต่ำกว่า มี Resilience ต่อวิกฤตต่างๆ ต่ำกว่า และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ช้ากว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดเล็ก
ดังนั้นภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรการ Digital wallet อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยข้อมูลเป็นแกนกลาง หรือเรียกได้ว่า Data Driven Economy ทำให้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ตั้งอยู่บนข้อมูลที่ดีพอที่จะนำไปสู่การตัดสินใจในการดำเนินนโยบายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะถัดไป