ไทย - จีน ฟื้นเจรจารถไฟความเร็วสูง 'สุริยะ' ประกาศดันเฟส 2 ตอกเสาเข็มปีหน้า
ไทย - จีน ฟื้นเจรจาผลักดันรถไฟความเร็วสูง ณ กรุงปักกิ่ง ในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 31 “สุริยะ” ประกาศเร่งผลักดันโครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย ปักหมุดตอกเสาเข็มปีหน้า มั่นใจเปิดให้บริการครบทั้งเส้นทางในปี 2573
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกับนายอู่ ฮ่าว เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 31 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันความร่วมมือโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร และเห็นชอบร่วมกันในหลายประเด็นสำคัญ อาทิ
1.ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานก่อสร้างโครงการช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ระยะที่ 1) ซึ่งโดยรวมมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการรื้อย้ายและเวนคืนที่ดินซึ่งได้รับการผลักดันภายหลังการออกพระกฤษฎีกาเวนคืน ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางและมาตรการร่วมกันในการเร่งรัดให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ปัจจุบันก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 2 สัญญาจากทั้งหมด 14 สัญญา อีก 10 สัญญาอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และรอการลงนามจำนวน 2 สัญญา และฝ่ายไทยจะใช้ความพยายามอย่างสูงสุดเพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571
2. ฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการของโครงการระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย) ที่ฝ่ายไทยได้ออกแบบรายละเอียด งานโยธาแล้วเสร็จ ซึ่งปัจจุบัน รายงาน EIA ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการแล้ว และเตรียมเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ คู่ขนาน ไปพร้อมกับการขออนุมัติโครงการ
โดยในคราวการประชุมโดยคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้มีมติในคราวการประชุมครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 เห็นชอบอนุมัติการ ดำเนินโครงการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2568 และจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2573 ต่อไป โดยที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าและแผนงานของโครงการรถไฟรถไฟความเร็วสูงช่วงนครราชสีมา-หนองคาย (ระยะที่ 2)
3. ที่ประชุมได้หารือถึงการเชื่อมต่อโครงการรถไฟเชื่อมต่อจากหนองคายไปยังเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ใกล้กับสะพานเดิมที่มีอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร มีทั้งทางรถไฟขนาดมาตรฐาน และทางขนาด 1 เมตร ปัจจุบันกรมทางหลวง (ทล.) ได้ศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จ และ ร.ฟ.ท.ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ ในปี 2567 สำหรับการออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงาน EIA จำนวน 125 ล้านบาท สถานะปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขต ของงาน และราคากลาง เพื่อจ้างที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียดต่อไป
นอกจากนี้ ได้มีการพัฒนาพื้นที่นาทาเพื่อเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและย่านกองเก็บตู้ สินค้า โดย ร.ฟ.ท. ได้ดำเนินการศึกษาในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เพื่อเป็นสถานีขนส่งสินค้าคอนเทนเนอร์ที่รับรองการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟระหว่างทางรถไฟขนาด 1 เมตร และขนาดทางมาตรฐาน รวมถึงเป็นพื้นที่การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบระหว่างทางถนนและ ทางราง และพื้นที่สำหรับรวบรวมและกระจายสินค้า โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาคาร คลังสินค้า การให้บริการคลังสินค้า รวมทั้งการให้บริการพิธีการทางศุลกากรเพื่อตรวจปล่อยสินค้า X–ray ตู้สินค้า การตรวจรังสี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ได้กำหนดให้นาทาให้เป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่าง 3 ประเทศไทย ลาว และจีน โดยในคราวการประชุมโดยคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. ได้มีมติในคราวการประชุมครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 เห็นชอบให้เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอต่อสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571
ทั้งนี้ การหารือทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในการปรับปรุงและดำเนินความร่วมมือให้ลึกซึ้งและประสานงานอย่างใกล้ชิดในการประชุมไตรภาคีระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน เพื่อผลักดันให้โครงการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟดังกล่าวก้าวหน้าต่อไป
4. ฝ่ายไทยยังได้แจ้งให้ทราบถึงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้กระทรวงคมนาคม โดย สทร. จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานประสานงานหลักในการอำนวยความสะดวกและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านระบบรางจากต่างประเทศ
5. ที่ประชุมได้ให้การรับรองและเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 32 ขึ้นในประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ให้การรับรองต่อที่ประชุมว่า จะร่วมกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ให้คืบหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยความร่วมมือและสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน เพื่อให้บรรลุประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งรถไฟของทั้งสองประเทศ