4 เดือนแรกจัดตั้งธุรกิจใหม่ 3.1 หมื่นราย ทุนจดทะเบียนรวม 9.5 หมื่นล้านบาท
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย จัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนเม.ย. จำนวน 6,530 ราย เพิ่ม 8.09% ยอดรวม 4 เดือนแรก 31,533 ราย ทุนจดทะเบียน 95,212.41 ล้านบาท คาดครึ่งปีแรก จัดตั้งใหม่อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย ได้รับแรงหนุนจากการลงทุน และ โครงการ Digital Wallet เตือนนิติบุคคลส่งงบการเงิน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือนเม.ย.2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 6,530 ราย เพิ่มขึ้น 489 ราย คิดเป็น 8.09% โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 27,271.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,373.99 ล้านบาท คิดเป็น 30.50% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 2566 นับเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นว่าไตรมาส 2 ของปีนี้ เลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จะมีจำนวนสูงกว่า ในปีที่ผ่านมา ที่สำคัญจำนวนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนเม.ย. 2567 ยังเป็นจำนวนสูงที่สุดของเดือนเม.ย. ในทุกๆ ปี ตั้งแต่กรมฯ เปิดให้บริการจดทะเบียนธุรกิจมา 101 ปี
โดยการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 565 ราย ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 455 ราย และ ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร 329 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.66% 6.97% และ 5.04% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนเม.ย.ตามลำดับ
ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนเม.ย. 2567 มีจำนวน 810 ราย ลดลง 126 ราย หรือ 13.46% มูลค่าทุน จดทะเบียนเลิก 5,096.83 ล้านบาท ลดลง 80.37 ล้านบาท หรือ 1.55% โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 88 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 44 ราย และ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 29 ราย คิดเป็นสัดส่วน 10.87%, 5.43% และ 3.58% ของจำนวนการเลิกประกอบกิจการเดือนเม.ย.2567 ตามลำดับ
สำหรับยอดรวม จัดธุรกิจใหม่ 4 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-เม.ย. 2567) มีจำนวน 31,533 ราย ลดลงเล็กน้อยจำนวน 690 ราย หรือ 2.14% เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 95,212.41 ล้านบาท ลดลง 265,280.89 ล้านบาท หรือ 73.59% เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 เนื่องจากปี 2566 มีการควบรวมกิจการของบริษัทที่มีมูลค่าทุนเกิน 100,000 ล้านบาท คือการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู และดีแทค และการแปรสภาพของบิ๊กซีรีเทลเป็นบริษัทมหาชนและคาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000-47,000 ราย
ส่วนยอดจดทะเบียนเลิกสะสม 4 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-เม.ย. 2567) มีจำนวน 3,619 ราย ลดลง 585 ราย หรือ 13.92% เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 โดยมีทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 17,040.40 ล้านบาท ลดลง 18,029.42 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับอัตราการจัดตั้งต่อการเลิกประกอบกิจการของปี 2567 มีอัตราอยู่ที่จัดตั้ง 9 ราย เลิก 1 ราย (9:1)
ปัจจุบัน (30 เม.ย. 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,908,768 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 29.95 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 917,916 ราย แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,622 ราย คิดเป็น 77.85% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 15.98 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,834 ราย คิดเป็น 21.99% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.48 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.74 ล้านล้านบาท
นางอรมน กล่าวว่า ทั้งนี้เดือนเม.ย. 2567 มีธุรกิจเติบโตที่น่าสนใจ ได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวกับกิจกรรมของบริษัทโฆษณา เช่น การให้บริการด้านการออกแบบสร้างสรรค์การผลิตสิ่งต่างๆ ที่ใช้ในการโฆษณาการวางแผนและการซื้อสื่อโฆษณา ซึ่งมียอดการจัดตั้งธุรกิจจำนวน 106 ราย และมีแนวโน้มเติบโตของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจที่ 32.50% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 26 ราย นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจดาวเด่นที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นที่น่าสนใจและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะมีอัตราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาช่วยสนับสนุน
สำหรับปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) ผนวกกับหลังจากที่รัฐบาลประกาศพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ทำให้มีการลงทุนในโครงสร้างขั้นพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งโครงการ Digital Wallet ที่มีนโยบายออกมาอย่างชัดเจนและคาดว่าจะเริ่มให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในไตรมาส 2 - 3 ของปี 2567 รวมทั้งนโยบายที่กระตุ้นด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของรัฐ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย
นางอรมน กล่าวว่า สำหรับเดือนเม.ย.มีการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 75 ราย เพิ่มขึ้น 5 ราย หรือ 7% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. 2567 โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจำนวน 16 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ จำนวน 59 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 19,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,692 ล้านบาท หรือ 104% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. 2567 มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 23 ราย เงินลงทุน 15,048 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา จำนวน 12 ราย เงินลงทุน 100 ล้านบาท และสิงคโปร์ จำนวน 10 ราย เงินลงทุน 1,205 ล้านบาท
โดยภาพรวม 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย. 2567) อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติฯ จำนวน 253 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 36 ราย หรือ 17% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เกิดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 54,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,256 ล้านบาท หรือ 42% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
นางอรมน กล่าวว่า ในช่วงเดือนพ.ค.ของทุกปีจะเป็นช่วงที่นิติบุคคลที่ปิดรอบบัญชีในวันที่ 31 ธ.ค. จะต้องเร่งนำส่งงบการเงินกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้าย สำหรับในปี 2567 มีนิติบุคคลที่มีหน้าที่ส่งงบการเงินรอบปีบัญชี 2566 จำนวน 835,011 ราย โดยเป็นนิติบุคคลที่ปิดรอบปีบัญชี 31 ธันวาคม จำนวนกว่า 671,823 ราย คิดเป็น 80% ของผู้มีหน้าที่ส่งงบการเงิน จากข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีผู้นำส่งงบการเงินแล้วเพียง 17% ของผู้มีหน้าที่ต้องนำส่ง ทั้งนี้ งบการเงินรอบปีบัญชี 2565 ที่ผ่านมามีนิติบุคคลนำส่งงบการเงินจำนวนทั้งสิ้น 660,751 ราย คิดเป็น 82% ของผู้มีหน้าที่ต้องนำส่ง (ข้อมูล ณ 30 เม.ย.25670)
กรมฯ จึงขอเชิญชวนผู้มีหน้าที่ต้องนำส่งงบการเงินให้นำส่งงบการเงินแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความแออัดในการใช้บริการ ลดความผิดพลาดต่างๆ และขอแนะนำให้นำส่งงบการเงินผ่านระบบออนไลน์ DBD e-Filing ซึ่งสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง อีกทั้งกรมฯ ยังสามารถใช้ข้อมูลงบการเงินไปให้บริการด้านข้อมูลธุรกิจแก่ประชาชน รวมถึงนำไปวิเคราะห์ภาพรวมการเติบของธุรกิจไทยเพื่อให้ธุรกิจใช้ในการพิจารณาวางแผนธุรกิจในอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันสถานการณ์อีกด้วย