‘TDRI‘ ชี้ปัญหา ‘SME ไทย’ ใหญ่กระจุกเล็กกระจาย แข่งขันยาก

‘TDRI‘ ชี้ปัญหา ‘SME ไทย’ ใหญ่กระจุกเล็กกระจาย แข่งขันยาก

‘TDRI’ ระบุเจ้าของกิจการ SME ไทย มีภาวะอายุมากการศึกษาน้อย เสี่ยงปรับตัวไม่ทัน แนะ เพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงิน ‘สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย’ หนุนสร้างกลไกบ่มเพาะให้ SME ถึงแหล่งเงินในระบบ

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) กล่าวในงานเสวนา “กลไกค้ำประกันเครดิต ตัวช่วยของ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน” จัดโดยธนาคารแหงประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2567 ว่า SME ไทยมีลักษณะใหญ่กระจุกเล็กกระจาย โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีอายุเยอะและการศึกษาไม่สูง 

ทั้งนี้ ในปี 2538 อายุเฉลี่ยของเจ้าของกิจการ SME ไทยอยู่ที่ประมาณ 42 ปี ขณะที่ในปี 2566 อายุเฉลี่ยของเจ้าของกิจการ SME ไทยอยู่ที่ประมาณ 50 ปี ในด้านการศึกษา พบว่ามีประมาณ 30% ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี

ขณะที่ 25% จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ SME อาจไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อโลกได้ ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพให้ SME จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่ต้องมีมาตรการสนับสนุนให้แข่งขันได้ด้วย

สำหรับแนวทางการการช่วยเหลือผู้ประกอบการ มีข้อเสนอ ดังนี้ 

1.การสร้างฐานข้อมูลรายกิจการที่ครบถ้วน โดยควรมีการปรับอีโคซิสเต็มการใช้ข้อมูลในภาพรวม เป็นการใช้ข้อมูลแบบรายบุคคล เนื่องจากทำให้ออกมาตรการให้ตรงจุด ขณะที่รัฐบาลควรมีการกันงบประมาณไว้ส่วนหนึ่งสม่ำเสมอ เช่น ปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเรื่องการค้ำประกันให้กับ SME

2.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้มากขึ้น โดยปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการแข่งขัน จึงต้องเร่งปรับโครงสร้างให้แข่งขันได้

3.การเพิ่มความทันสมัยของผู้ประกอบการ และแนวทางที่ทำให้เอสเอ็มอีคิดนอกกรอบ เช่น สนับสนุนให้ใช้ระบบบัญชีที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มผลิตภาพให้กับเอสเอ็มอีได้มาก

4.การแก้กฎหมายให้ บสย. ขยายการค้ำประกันไปถึงผู้ให้กู้รายอื่นนอกเหนือจากสถาบันการเงิน ปัจจุบันเกาหลีใต้แก้กฎหมายประมาณ 2 ครั้งแล้วเพื่อให้กฎหมายใช้งานได้จริง

5.เพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงิน เพื่อไม่ให้มีภาคส่วนใดต้องรับภาระเพียงภาคส่วนเดียว

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เศรษฐกิจฐานรากเป็นกลุ่มที่เปราะบางและยังคงชะลอตัว โดยไม่ได้ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างที่คาดหลังสถานการณ์โควิด รวมทั้งยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาอย่างรอบด้าน 

สำหรับสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่ธุรกิจ SME จำนวนไม่น้อยอยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ รวมทั้งมีแรงงานที่อยู่นอกระบบด้วย ปัจจุบันโครงสร้างของธุรกิจ SME กว่า 71% เป็นบุคคลธรรมดา และทำธุรกิจภาคการค้าและบริการเป็นหลัก หมายความว่าสินเชื่อส่วนใหญ่ที่ SME เข้าถึงก็เป็นกลุ่มพิโกไฟแนนซ์

ทั้งนี้ การจะดึงให้เศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบได้ต้องการแรงจูงใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ กำลังคนที่มีสมรรถนะสูง เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจ และภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ออกแบบนโยบายและมาตรการที่ตอบโจทย์ โดย 3 มาตรการหลักที่มองว่าอยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 

1.มาตรการในการเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำและฟื้นฟูหนี้ NPL 

2.มาตรการยกระดับขีดความสามารถ SME และแรงงาน 

3.มาตรการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคของ SME

ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีสัดส่วนสินเชื่อ SME ในธนาคารพาณิชย์เพียงแค่ 20% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด 18 ล้านล้านบาท ส่วนแบงก์รัฐมีพอร์ตสินเชื่อของ SME ราว 39% เพราะฉะนั้นกลไกของแบงก์รัฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วน 36% เป็นหนี้นอกระบบ หรือคิดเป็นราว 1.14 ล้านราย

โดยจากผลสำรวจพบว่าธุรกิจ SME ต้องการกู้ยืมเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ทว่ากลับพบปัญหาและอุปสรรคเรื่องต้นทุนดอกเบี้ยสูง การขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อ ขั้นตอนในการขอสินเชื่อยุ่งยากและล่าช้า และขาดความรู้ในการเข้าถึงแหล่งทุน

“ผู้ประกอบการ SME ที่ยังไม่เข้าระบบและไม่มีความพร้อมเนื่องจากความรู้เรื่องบัญชีและภาษีที่ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องสร้างกลไกในการบ่มเพาะผู้ประกอบการทั้งก่อนและหลังการขอสินเชื่อ ซึ่งแบงก์รัฐหลายแห่งเริ่มมีโปรแกรมนี้แล้ว" 

รวมทั้งการให้ บสย.โฟกัสไปที่การค้ำประกันให้กับภาครัฐ ทั้งกองทุนและสหกรณ์ที่รับผิดชอบ SME เพื่อกวาดให้กลุ่มเหล่านี้ เข้ามาในระบบได้มากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดหนี้นอกระบบ

นายแสงชัย กล่าวว่า สำหรับสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยากให้มีการทบทวนเรื่องการปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยวงเงินต่ำเพื่อการประกอบอาชีพ ควรกำหนดให้มีอัตราต่ำกว่า 25% เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ให้การวางโฉนดที่ดินและจำนำทะเบียนรถจัดอยู่ในสินเชื่อที่มีหลักประกัน