พาณิชย์ เผย 10 ธุรกิจปี 66 โกยทรัพย์มากที่สุด

พาณิชย์ เผย 10 ธุรกิจปี 66 โกยทรัพย์มากที่สุด

กรมพัฒน์ เผยปี 2566 นิติบุคคลทั่วประเทศ มีรายได้ 57.86 ล้านล้านบาท กำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท กลุ่มภาคการผลิต ทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท ตามด้วยภาคบริการ และขายส่งปลีก "ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียมกวาดรายได้สูงสุด" จับตาธุรกิจ Art Toy มาแรง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า  กรมได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 และได้ส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พ.ค.2567 จำนวน 581,856 ราย คิดเป็น 86.6% จากนิติบุคคลที่ต้องส่งงบการเงินทั้งหมด 671,823 ราย และคงเหลือนิติบุคคลที่ไม่ได้นำส่งอีกจำนวน 89,967 ราย คิดเป็น 13.4% โดยได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินมาวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ พบว่า รายได้ของนิติบุคคลทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 57.86 ล้านล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มภาคการผลิต สามารถทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.00% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.03% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

รองลงมาคือ กลุ่มภาคขายส่ง/ปลีก ทำรายได้ 23.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.30% ของรายได้ทั้งหมด ทำกำไรอยู่ที่ 0.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.57% ของกำไรสุทธิทั้งหมด และกลุ่มภาคบริการ ทำรายได้จำนวน 10.82 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.70% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.40% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

 

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้วิเคราะห์รายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกใน ปี 66 ได้แก่ 1.ธุรกิจผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท

2. ธุรกิจขายส่งนาฬิกา และเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท

3. ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท   

 4. ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล ทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท

5. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท

6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท

7.ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท

8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท

9. ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท

10. ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ธุรกิจทั้ง 10 อันดับที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดไซส์ L ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในธุรกิจแต่ละประเภท

 

 

นางอรมน กล่าวว่า  สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือนพ.ค.2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,499 ราย เพิ่มขึ้น 969 ราย เพิ่มขึ้น 0.83%  เมื่อเทียบกับพ.ค.66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน  21,887.12 ล้านบาท ลดลง 22.97%  การที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก  ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,004 ราย เพิ่มขึ้น 194 ราย คิดเป็น 23.95% เมื่อเทียบกับเม.ย.67 และลดลง 230 ราย คิดเป็น 18.64% เมื่อเทียบกับพ.ค.66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 54,804.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,707.54 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกสูงผิดปกติเป็นผลมาจากการเลิกประกอบกิจการของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด (มหาชน ) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ จำกัด เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจให้คล่องตัวยิ่งขึ้น  โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 98 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 59 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการอื่นๆ 25 ราย

สำหรับภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้ง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.- พ.ค.) มีจำนวน 39,032 ราย ลดลง 1.58 % ทุนจดทะเบียน 117,099 ล้านบาท  ลดลง 69.89 ซึ่งมีอัตราการจัดตั้งลดลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ 5 เดือนแรกมีจำนวน 4,623 ราย ลดลง 14.99 % ทุนจดทะเบียนเลิก  71,844 ล้านบาท เพิ่ม 65.89% 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลข การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000-47,000 ราย และทั้งปี 90,000-98,000 ราย

ปัจจุบัน (31 พ.ค.2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,916,267 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 916,634 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22.26 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,143 ราย คิดเป็น 77.91% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 16.02 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด และห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,031 ราย คิดเป็น 21.93% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.77 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้กรมยังได้วิเคราะห์ธุรกิจที่ต้องจับตามอง โดยเห็นว่า กระแส Art Toy ของเล่นสะสมที่สร้างสรรค์งานศิลปะโดยศิลปินจากต่างประเทศ และศิลปินไทยก็กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ส่งผลให้ ‘ธุรกิจของเล่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง แม้ในช่วง 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ.2562-2566) ธุรกิจของเล่นจะมีการเติบโตที่ผันผวนเพราะมีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาส่งผลกระทบเชิงลบ แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงธุรกิจของเล่นก็ใช้เวลาไม่นานที่สามารถกลับมาพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่ครองตลาดส่วนใหญ่มากถึง 1,024 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 220 ราย และกลุ่มขายจำนวน 804 ราย คิดเป็น 93.7% จากจำนวนธุรกิจของเล่นที่มีจำนวน 1,093 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 238 ราย และกลุ่มขายจำนวน 855 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตจำนวน 2,909.61 ล้านบาท และกลุ่มขายจำนวน 2,782.60 ล้านบาท สำหรับปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวมถึง 19,677.21 ล้านบาท และทำกำไรได้ 467.62 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจของเล่น ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการเกิดกลุ่มในวงการของเล่นที่เรียกว่า Kidult ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความนิยมในการสะสมของเล่น และมีกำลังการซื้อสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในวัยเด็ก การสะสมเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์