ดีเดย์เก็บ VAT 7% สินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทแรก มีผล 5 ก.ค.นี้

ดีเดย์เก็บ VAT 7% สินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทแรก มีผล 5 ก.ค.นี้

“คลัง” ดีเดย์เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กับผู้ประกอบการนำเข้า สินค้าตั้งแต่ 1 บาทแรก มีผล 5 ก.ค. นี้ สร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 5 ก.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทเป็นวันแรก โดยออกเป็นประกาศกฎกระทรวงให้กรมศุลกากรเป็นผู้จัดเก็บ ซึ่งจะเป็นมาตรการเร่งด่วนเป็นการชั่วคราว ระหว่างรอกรมสรรพาแก้ไขมาตรา 81 แห่งประมวลรัษฎากร

"โดยหลักการของกฎหมายดังกล่าว ไม่ได้ต้องการมุ่งเน้นเรื่องรายได้เป็นหลัก เพียงแต่ต้องการสร้างความเป็นธรรมในการทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการชาวไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศ"

นายลวรรณ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสินค้าที่ผลิตในไทยเสียเปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ทั้งยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ส่งผลต่อการแข่งขันด้านกำไร

ขณะที่สินค้านำเข้าบางรายการได้รับการยกเว้นทำให้เกิดแต้มต่อทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายนี้ออกมา ซึ่งจะมีการเปิดตู้ตรวจสินค้านำเข้าโดยการเอ็กซ์เรย์ 100%

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า เบื้องต้นกรมศุลจะเป็นผู้จัดเก็บภาษีส่วนนี้เป็นการชั่วคราวไปก่อนจนถึงสิ้นปี และอาจต่ออายุมาตรการได้ เพื่อรอจนกว่าสรรพากรจะแก้ไขกฎหมายเสร็จ 

ทั้งนี้ กระบวนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท จะไม่สร้างภาระให้กับประชาชนหรือผู้บริโภค เนื่องจากจะเป็นการเรียกเก็บภาษีจากบริษัทขนส่ง โดยไม่ได้ไปเรียกเก็บกับประชาชนที่สั่งซื้อของโดยตรง

ยกเว้นกรณีสินค้าที่มีการจัดส่งทางไปรษณีย์จากต่างประเทศ ที่จะมีการออกใบสำหรับจ่ายภาษีเพิ่มเติม ซึ่งผู้ซื้อสามารถสแกนจ่ายภาษีกับบุรุษไปรษณีย์เพิ่มเติมและรับของไปได้เลย ซึ่งกลุ่มนี้จะมีปริมาณไม่มากนัก ส่วนสินค้าที่มีการจัดส่งผ่านขนส่งเอกชน ซึ่งเป็นสินค้าเกือบทั้งหมด ประชาชนไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม เพราะกรมศุลฯ จะเรียกเก็บจากผู้ขนส่ง ซึ่งผู้ขนส่งจะไปเรียกเก็บผู้ประกอบการต่ออีกที

โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566-พ.ค.2567) มีปริมาณนำเข้าสินค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท อยู่ราว 89 ล้านชิ้น มูลค่าประมาณ 26,000 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีน่าจะมีมูลค่าการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวราว 30,000 ล้านบาท จึงคาดว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจะสร้างรายได้ให้รัฐเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มนี้ที่นำเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นการขนส่งทางรถบรรทุกจากจีน เข้ามาด่านมุกดาหารมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นด่านนครพนม 

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี และโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้กรมจะหารือกับผู้ประกอบการแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อหารือถึงรายละเอียดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้านำเข้าที่มูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท 

โดยหลักกการผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม จะเป็นผู้จัดเก็บและนำส่งภาษีมาให้โดยตรง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับบริการ (VES) ที่กรมมีการออกกฏหมายจัดเก็บไปก่อนหน้านี้ แต่รายละเอียดอาจมีความแตกต่างกันบ้าง เช่น สินค้าอาจมีการคืนของ จึงต้องมีการคุยลงรายละเอียดกัน

นอกจากนี้ กรมกำลังอยู่ระหว่างการแก้กฎหมายประมวลรัษฎากรเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีนี้ เพื่อให้อำนาจสรรพากร สามารถจัดเก็บภาษีนี้ได้ถูกต้อง ซึ่งจะมีการเร่งทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้เพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการล่าช้า ก็อาจจะให้กรมศุลเป็นผู้จัดเก็บภาษีแทนไปพรางก่อนจนกว่ากฎหมายจะแล้วเสร็จ