BEM ลุย ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ส.ค.นี้ ลุ้นเจรจางานใหม่ดัน Backlog 3 แสนล้าน
BEM เดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีส้ม จ้าง CK ก่อสร้างโยธาติดตั้งระบบรถไฟฟ้า 1.2 แสนล้านบาท ประกาศพร้อมทั้งด้านเงินทุน และการก่อสร้าง เตรียมลงพื้นที่ ส.ค.นี้ เผยอยู่ระหว่างเจรจา 2 โปรเจกต์ หวังดัน Backlog ในมือแตะ 3 แสนล้านบาท
นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM กล่าวว่า หลังจาก BEM ได้สัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วันนี้ (23 ก.ค.) บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาจ้าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก บางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และจัดหา ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสำหรับทั้งโครงการ
โดยช่วงตะวันออกจากศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรีนั้น มีกำหนดแล้วเสร็จ ภายใน 3 ปี 6 เดือน ซึ่ง BEM มั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการส่วนนี้ได้ก่อนกำหนดอย่างแน่นอน และช่วงตะวันตก มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 6 ปี โดยมีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการช่วงตะวันออก
"BEM มีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยในส่วนของการก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก BEM มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง CK ที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความชับช้อน โดย CK ได้จัดเตรียมทีมงานและเครื่องจักรอุปกรณ์พร้อมเข้าดำเนินงานได้ทันทีในเดือน ส.ค.นี้”
นายสมบัติ กล่าวด้วยว่า การจัดหาติดตั้งระบบรถไฟฟ้านั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตเพื่อสั่งชื่อรถไฟฟ้าแบบล็อตใหญ่รวม 53 ขบวน แบ่งเป็น รถไฟฟ้าที่ใช้ในสายสีส้ม 32 ขบวน และรถไฟฟ้าสำหรับบริการในโครงการสายสีน้ำเงินเงินเพิ่มเติมอีก 21 ขบวน โดยบริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยเป็นลำดับแรก เห็นได้จากในโครงการที่ผ่านมาบริษัทเลือกใช้ผู้ผลิตจากประเทศเยอรมันและญี่ปุ่นเป็นหลัก
สำหรับเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นกว่า 1.4 แสนล้านบาท BEM ได้จัดเตรียมเงินกู้ ซึ่งได้รับจากธนาคารกรุงเทพ วงเงินประมาณ 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็น เงินกู้สำหรับก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก 90,000 ล้านบาท และสําหรับงานระบบรถไฟฟ้า 30,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ และแหล่งเงินทุนอื่นๆ เช่น หุ้นกู้ ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในปีแรกของการให้บริการช่วงตะวันออก จะมีประมาณ 1.2 แสนคน/วัน และเมื่อเปิดตลอดเส้นทางคาดว่าจะมี 3 แสนคน/วัน สำหรับค่าโดยสารนั้นจะเริ่มต้นที่ 17-44 บาท
นายสมบัติ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของ BEM มีกำไรเติบโตจากการบริหารโครงการสัมปทานที่มีอยู่ทั้งรถไฟฟ้าและทางพิเศษ หลังจากกำไรที่เคยลดลงไปเมื่อช่วงโควิด-19 ตอนนี้กลับคืนมาแล้ว และยังทำกำไร New High ในทุกปี จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยการได้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มถือเป็น New S-Curve ให้กับ BEM ช่วยเพิ่มความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนุนรายได้ให้กับสัมปทานตัวเดิมอย่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพราะจะส่งผู้ใช้บริการเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่เปิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันออกนั้นจะมีผู้โดยสารประมาณ 80% เชื่อมเข้าสู่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทันที อีกทั้งยังทำให้เกิดการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ (Economy of Scale) และทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ประธานกรรมการบริหาร BEM กล่าวว่า การได้รับงานรถไฟฟ้าสายสีส้มทำให้ BEM มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ถึง 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี 1.2 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ปัจจุบัน BEM ยังอยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาลในโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ที่ภาครัฐอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมในการคัดเลือกเอกชบริหารงานเดินรถ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดย BEM พร้อมที่จะเจรจาในทุกรูปแบบ หากภาครัฐมีนโยบายให้ดำเนินการ จะทำให้ BEM มี Backlog ในมือสูงที่สุดถึง 3 แสนล้านบาท