บทพิสูจน์ 'คีรี' 3 ปี สัญญาจ้าง BTS เดินรถไฟฟ้าถูกกฎหมาย
“บีทีเอส” พร้อมเจรจา กทม.เคลียร์หนี้จ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ระบุดอกเบี้ยเพิ่มทุกวันหวั่นทะลุ 4 หมื่นล้าน “คีรี” ลั่นเป้าหมายต้องการรับเงินสด เพื่อเสริมสภาพคล่อง และบริการผู้โดยสาร ขณะที่แนวทางเจรจาสัมปทาน เชื่อ กทม.อยู่ระหว่างการศึกษา
KEY
POINTS
- 'คีรี' ออกโรงทวงหนี้ กทม. งานค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ชี้ดอกเบี้ยเพิ่มทุกวันหวั่นทะลุ 4 หมื่นล้านบาท
- ลั่นเป้าหมายตอนนี้ต้องการรับเงินสด เพื่อเสริมสภาพคล่อง และบริการผู้โดยสาร ขณะที่แนวทางเจรจาสัมปทาน เชื่อ กทม.อยู่ระหว่างการศึกษา ชี้หากเปิด PPP ยังมีเงื่อนไขต้องจ้าง BTS เดินรถถึงปี 2585
- 'ชัชชาติ' พร้อมจ่ายหนี้ หลังแจงงบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงินรวม 9 หมื่นล้านบาท ระบุ กทม.อาจใช้เงินเกินงบเหตุมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของรถไฟฟ้า
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ชำระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) ส่วนต่อขยายให้ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS วงเงิน 11,755 ล้านบาท โดยหนี้ดังกล่าวครอบคลุม ดังนี้
- การเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง
- การเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-คูคต
ขณะที่หนี้ดังกล่าวครอบคลุมการเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายระหว่างเดือนพ.ค.2562 - พ.ค.2564 โดย BTS ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 15 ก.ค.2564 และศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ใช้หนี้กับเอกชนเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2565 รวมแล้วใช้เวลาดำเนินคดีถึงที่สิ้นสุด 3 ปี
สำหรับสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง อยู่ในลักษณะกรุงเทพมหานคร จ้าง KT จากนั้น KT จ้าง BTS เดินรถไฟฟ้า
ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เป็นการที่ กทม.มอบหมาย KT จากนั้น KT จ้าง BTS เดินรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ การที่ KT เป็นผู้จ้าง BTS ทำให้กรุงเทพมหานคร ต่อสู้คดีในประเด็นสัญญาจ้างเป็นการทำสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน จึงทำให้ไม่เข้าลักษณะสัญญาทางปกครอง รวมถึง KT ไม่มีอำนาจเข้าทำสัญญาว่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง และสัญญาจ้างเป็นสัญญาที่ไม่ชอบเพราะจงใจฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ
“คีรี”ชี้บทพิสูจน์สัญญาถูกกฎหมาย
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า BTS ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วว่าสัญญาจ้าง O&M ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับความเป็นธรรมจากศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 3 ปี ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเอกชนทำงานอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง
“BTS ทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง และได้ปรึกษาทีมกฎหมายอย่างครบถ้วน ถ้าสัญญาไม่พร้อมหรือไม่ถูกต้อง เราไม่ลงนามอย่างแน่นอน เพราะเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้นผมต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นทุกคน รวมถึงกลุ่มผู้โดยสาร และที่ผ่านมาเรายืนยันเสมอมาว่าจะไม่หยุดเดินรถอย่างแน่นอน” นายคีรี กล่าว
ทั้งนี้ เบื้องต้น BTS รับทราบจากข่าวว่า กทม.พร้อมชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด 11,755 ล้านบาท แต่อยากให้ กทม.และ KT คำนึงถึงยอดหนี้ในส่วนที่เหลือด้วยเนื่องจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวันเฉลี่ย 7 ล้านบาทต่อวัน
รวมทั้ง BTS ไม่อยากให้ดอกเบี้ยเดินทุกวัน จึงต้องการให้กรุงเทพมหานคร และ KT ชำระเงินส่วนนี้ทันที เพื่อให้เอกชนนำไปเสริมสภาพคล่อง และพัฒนาบริการแก่ผู้โดยสาร
ทั้งนี้ BTS ยินดี และพร้อมที่จะเจรจากับกรุงเทพมหานคร และ KT ในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้บริการสาธารณะเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป โดยหากทั้งสองหน่วยงานมีแนวทางอื่นๆ ที่อยากให้พิจารณา บีทีเอสก็ยินดี และพร้อมที่จะเจรจา หากข้อเสนอเหล่านั้นมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเพื่อเกิดประโยชน์ต่อผู้โดยสาร
รวมทั้งรู้สึกดีใจ และเป็นชัยชนะให้กับตัวเองที่ต่อสู้อย่างบริสุทธิ์มาโดยไม่ยอมแพ้ และเชื่อว่าลูกหนี้เข้าใจเพราะสัญญา และการจัดซื้อจัดจ้างไม่มีอะไรผิด
“สิ่งที่ทำมาหรือสิ่งที่ผมเคยพูด BTS พวกเราทำอะไรตรงไปตรงมา และทำในสิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลา หวังว่ากรุงเทพมหานคร และ KT จะเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของเอกชน ที่ไม่เคยหยุดให้บริการเดินรถ และควรให้ฝ่ายกฎหมายเร่งพิจารณาแนวทางการชำระหนี้แก่ BTS โดยเร็ว” นายคีรี กล่าว
หนี้ค่าจ้างเดินรถเฉียด 4 หมื่นล้าน
สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงสิ้นสุด ณ วันที่ 25 ก.ค.2567 มีจำนวนรวม 39,402 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย
1.ยอดหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ที่ให้กรุงเทพมหานคร และ KT ร่วมกันชำระให้ BTS เป็นเงินจำนวน 11,755 ล้านบาท โดยส่วนนี้เชื่อว่ากรุงเทพมหานคร และ KT จะดำเนินการชำระหนี้ภายใน 180 วันหลังมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุด
2.ยอดหนี้ที่ BTS ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565 ให้กรุงเทพมหานคร และ KT ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงให้กับบีทีเอสของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งเป็นหนี้ค่าจ้างตั้งแต่เดือนมิ.ย.2564 ถึง ต.ค.2565 เป็นเงินจำนวนกว่า 11,811 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
3.ยอดหนี้ค่าจ้างงานเดินรถ และซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่เดือนพ.ย.2565 ถึง มิ.ย.2567 ที่ยังค้างชำระ เป็นเงินจำนวนกว่า 13,513 ล้านบาท โดยหนี้ส่วนนี้ BTS ยังไม่ได้ดำเนินการยื่นฟ้องเพิ่มเติม เพียงแต่ทำหนังสือวางบิลเพื่ออัปเดตจำนวนหนี้คงค้างให้กับกรุงเทพมหานคร ในทุกเดือน
4.ค่าจ้างงานเดินรถ และซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในอนาคต ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงสิ้นสุดสัมปทาน ปี 2585 ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทาน
สำหรับจำนวนหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ดังนั้นบีทีเอสจึงยังไม่มีแนวทางยื่นฟ้องเพิ่มเติม โดยเชื่อว่ากรุงเทพมหานคร และ KT จะชำระหนี้ตามกำหนด เพราะวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสัญญางานจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น หากกรุงเทพมหานคร และ KT จ่ายล่าช้าออกไปจะส่งผลให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน และน่าจะทำให้หนี้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นถึง 40,000 ล้านบาท
พร้อมเปิดเจรจา กทม.เคลียร์หนี้
นายคีรี กล่าวว่า ความเป็นไปได้ในการเจรจาขยายสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อแลกกับภาระหนี้ที่เกิดขึ้นนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการเจรจาในเรื่องนี้ โดยเชื่อว่ากรุงเทพมหานคร น่าจะอยู่ในขั้นตอนของการศึกษารูปแบบ เพื่อบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายหลัก คือ สายสุขุมวิท หมอชิต-อ่อนนุช และสายสีลม สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ที่กำลังจะหมดสัญญากับบีทีเอสในปี 2572
ทั้งนี้หาก กทม.จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ก็ดำเนินการได้ แต่หากได้เอกชนรายใหม่เข้ามาร่วมทุน ก็ต้องดำเนินการตามสัญญาสัมปทานที่มีอยู่ โดยจะต้องจ้าง BTS เดินรถตลอดแนวเส้นทางกว่า 60 กิโลเมตร จนครบกำหนดอายุสัญญาสัมปทานในปี 2585
ชี้ขยายสัมปทานเป็นเรื่องอนาคต
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTSC กล่าวว่า การเจรจาขยายสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นเรื่องของอนาคต เนื่องจากขณะนี้กรุงเทพมหานคร ยังไม่ได้ประสานเจรจา คงต้องให้เวลาดูรายละเอียด และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดก่อน
ทั้งนี้ BTS ยืนยันว่ามีความพร้อมเจรจากับ กทม. และ KT ในทุกรูปแบบเพื่อหาทางออกแก้ไขปัญหาภาระหนี้ ซึ่ง ฺBTS ต้องการนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ พร้อมทั้งปรับปรุงบริการรถไฟฟ้า ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีบริการ และปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า
รวมทั้งหากกรุงเทพมหานคร มีแนวทางเปิด PPP จัดหาเอกชนเข้ามาให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลัก ก็ต้องดำเนินการตามสัญญาสัมปทานที่มีอยู่กับ BTS
โดยผู้ได้รับสัญญาร่วมลงทุนจะต้องจ้างบีทีเอสเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งสายหลัก และส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จนกว่าจะครบกำหนดในปี 2585
ทั้งนี้ ตามสัญญาสัมปทานในปัจจุบันระบุไว้ว่า หาก BTS หมดอายุสัญญาสัมปทานเดินรถส่วนหลักในปี 2572 หลังจากนั้นจะเป็นสัญญาอัตโนมัติในลักษณะสัญญาจ้างเหมา ให้บีทีเอสเดินรถโครงการส่วนนี้ต่อไปจนถึงปี 2585 และไปหมดอายุสัญญาสัมปทานตลอดแนวเส้นทางกว่า 60 กิโลเมตร พร้อมกันทั้งส่วนหลัก และส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2
ดังนั้นหากมีเอกชนรายใหม่เข้ามารับสัมปทานสายสีเขียวส่วนหลัก ก็จะต้องจ้าง BTS ต่อเนื่อง หรืออีกแนวทาง คือ กรุงเทพมหานครต้องยกเลิกสัญญา และจ่ายชดเชย
“ชัชชาติ” เตรียมงบจ่ายหนี้ BTS
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมการประชุมสภากรุงเทพมหาคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 5) ประจำปี 2567 โดยมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2567
นายชัชชาติ กล่าวในที่ประชุมว่า วันนี้เป็นการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำของปี 2568 วงเงิน 90,000 ล้านบาท ซึ่งหลักการของ กทม.จะไม่มีการกู้เงิน แต่จะใช้เงินให้เท่ากับการประมาณการรายรับของกรุงเทพมหาคร ซึ่งกรุงเทพมหานคร อาจจะใช้เงินเกินงบประมาณ เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของรถไฟฟ้า BTS ซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ต่อเนื่องมา
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์