AOTGA พร้อมชิงบริหารภาคพื้น - คาร์โก้ ‘สุวรรณภูมิ’ หวังดันรายได้ 6 พันล้าน
AOTGA พร้อมประมูลชิงบริการภาคพื้น และคาร์โก้สุวรรณภูมิ หวังดันรายได้โตเท่าตัว ทะลุ 6 พันล้านบาทต่อปี ขณะที่ปัจจุบันทำรายได้พุ่งต่อเนื่อง คาดปี 2568 สูงถึง 3.9 พันล้านบาท ล่าสุดจับมือกรมศุลกากร เปิดศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้าครบวงจรแห่งแรกในไทย
นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (บพท.) หรือ AOTGA เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 และผู้ให้บริการคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ มีประสบการณ์ให้บริการภาคพื้นที่ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบางส่วน อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการทำธุรกิจศูนย์บริการกระจายสินค้า การบริหารจัดการสินค้า และสัมภาระผู้โดยสารแบบครบวงจร จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายธุรกิจเข้าร่วมประมูลในโครงการดังกล่าวได้
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ประเมินว่าหากประมูลและได้สิทธิบริหารทั้งสองโครงการดังกล่าว จะสามารถดันรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือราว 6 พันล้านบาทต่อปี จากปีงบประมาณ 2567 บริษัทฯ ทำรายได้รวมประมาณ 3 พันล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2568 จะมีรายได้เติบโตราว 3.8 - 3.9 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการภาคพื้น และมีรายได้จากสัญญาให้บริการทำความสะอาดแบบครบวงจร ภายในท่าอากาศยานต่างๆ รวมประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
“ถ้าประมูลได้สิทธิบริการภาคพื้น และคาร์โก้ที่สุวรรณภูมิ รายได้เราจะโตอีกเป็นเท่าตัว เพราะเป็นสนามบินที่มีปริมาณเที่ยวบินจำนวนมาก ขณะที่ปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ 60-70% มาจากบริการภาคพื้นที่สนามบินภูเก็ต และ 30% จากสนามบินดอนเมือง โดยรายได้ของบริษัทฯ จะแบ่งสัดส่วน 49% ส่งให้กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้ถือหุ้น”
นายสิริวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับ ทอท. และกรมศุลกากร เปิดตัวศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า หรือ Multimodal Transportation Center ณ เขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โซน 3) บนพื้นที่กว่า 4,872 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ เป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ในภูมิภาค CLMV รองรับการนำเข้าและขนส่งสินค้า อำนวยความสะดวกในขั้นตอนศุลกากรที่ครบวงจร อีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบการขนส่งที่หลากหลายได้ทั้งอากาศ ทางบก ระบบราง และการขนส่งทางน้ำ ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวก ประหยัดต้นทุนในการขนส่ง นับเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ครบวงจรแห่งแรกในไทย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาให้บริการในศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า อาทิ ระบบติดตามทางศุลกากรจากด่านศุลกากรมายัง ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า ระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ และระบบควบคุมสินค้าคงคลัง ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังว่าในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งถือเป็นปีแรกของการเปิดให้บริการศูนย์กระจายสินค้านี้ จะมีปริมาณขนส่งสินค้ารวม 4-5 หมื่นตัน สร้างรายได้ราว 80 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องปีละ 10-15% จากสัญญาณบวกของปริมาณสินค้านำเข้าและส่งออกผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่มีสูงกว่า 1.2 ล้านตันต่อปี