สัญญาณ ‘เงินเฟ้อ’ ปลายปีขยับขึ้น เงินดิจิทัลเพิ่มกำลังซื้อประชาชน
สนค.เผยเงินเฟ้อเดือนส.ค.สูงขึ้น 0.35 % คาดเดือนก.ย.ยังสูงต่อเนื่อง เฉลี่ย 8 เดือน เงินเฟ้อสูงขึ้น 0.15 % คงเป้าเงินเฟ้อทั้งปี อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % ค่ากลาง 0.5 %
“เงินเฟ้อ” เป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อประชาชนทางตรงในวงกว้าง ส่วนสำคัญมาจากราคาสินค้า ค่าไฟ และค่าน้ำมัน รวมถึงการบริการที่เป็นส่วนสำคัญ ส่งผลทำให้การใช้จ่ายของประชาชนเกิดปัญหาโดยเฉพาะในประเทศไทยปัจจุบันยังต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจึงเป็นปัญหาที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องเข้ามาดูแล
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย.2567 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนส.ค.2567 น่าจะอยู่ระหว่าง 0.5-0.7%
ส่วนปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ราคาผักสด และผลไม้สดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกในบางพื้นที่ได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งทางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ หรืออาจจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวระดับต่ำ และการลดราคาสินค้า และการแข่งขันในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกในประเทศ และการค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจำนวนมากปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเงินเฟ้อไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% มีสาเหตุจากราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะช่วงเดียวกันของปีก่อน รัฐบาลตรึงดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ขณะนี้ 33 บาทต่อลิตร ที่จะส่งผลชัดเจน ขณะที่การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต กลุ่มเปราะบางเป็นเงินสด ไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า และเงินเฟ้อ แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อมากกว่า
สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปเดือนส.ค.2567 เท่ากับ 108.79 เทียบกับ ก.ค.2567 เพิ่มขึ้น 0.07% เทียบกับเดือนส.ค.2566 เพิ่มขึ้น 0.35% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง
โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสด และผลไม้สด เนื่องจากสถานการณ์ฝนตกหนัก และอุทกภัยในบางพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง รวมถึงข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป อาทิ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และอาหารตามสั่ง ราคาปรับสูงขึ้น แต่สินค้ากลุ่มพลังงาน อาทิ แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า ราคาปรับลดลง สำหรับราคาสินค้า และบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสด และพลังงานออก สูงขึ้น 0.62% เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่สูงขึ้น 0.5 2% หากรวมเงินเฟ้อ 8 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.15% สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือนส.ค.2567 ที่สูงขึ้น 0.35% มาจากการสูงขึ้นของหมวดอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.83%
โดยสินค้าสำคัญที่สูงขึ้น กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด เช่น มะเขือ พริกสด แตงกวา ผักกาดขาว มะนาว ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ผลไม้สด เช่น เงาะ มะม่วง กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว นมสด และไข่ไก่
กลุ่มอาหารสำเร็จรูป เช่น กับข้าวสำเร็จรูป อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง อาหารเช้า) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร เช่น น้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป
ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ส้มเขียวหวาน ปลาทู น้ำมันพืช และไก่ย่าง เป็นต้น
ขณะที่หมวดอื่นที่ไม่ใช่อาหาร และเครื่องดื่ม ลดลง 0.68% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ทั้งแก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า กลุ่มสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาซักแห้ง น้ำยาล้างจาน
กลุ่มค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกัน และบำรุงผิว ครีมนวดผม และกลุ่มเสื้อผ้า เช่น เสื้อยืดบุรุษ และสตรี กางเกงขายาวบุรุษ เสื้อเชิ้ตบุรุษ และสตรี อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่าเช่าบ้าน ค่ารถรับส่งนักเรียน ค่าแต่งผมบุรุษ และสตรี และเครื่องถวายพระ เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% ค่ากลาง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง
สำหรับตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ของ 9 ประเทศในอาเซียน จากฐานข้อมูล CEIC พบว่า ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปี 2567 เทียบกับ 6 เดือนแรกของปีก่อน ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ บรูไน -0.26% อันดับ 2 คือ ไทย ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง
และอันดับ 3-9 คือ ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเป็นบวก ได้แก่ กัมพูชา 0.26% มาเลเซีย 1.81% อินโดนีเซีย 2.79% สิงคโปร์ 2.87% ฟิลิปปินส์ 3.55% เวียดนาม 4.08% และลาว 25.29% ตามลำดับ
สำหรับสาเหตุที่ประเทศบรูไนมีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุดสาเหตุหลักมาจาก การลดลงของราคาสินค้าและบริการด้านที่อยู่อาศัย และสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้า น้ำ ก๊าซ และการขนส่ง ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักค่อนข้างสูงในตะกร้าสินค้าที่ใช้คำนวณอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ บรูไนเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ดังนั้น ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก
อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และรายได้ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการดำเนินนโยบายทางการเงิน และมาตรการควบคุมราคาสินค้า จึงอาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ โดยธนาคารกลางบรูไน (BDCB) ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 จะอยู่ในช่วง -0.5 ถึง 0.5%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์