แพทองธาร ลุยฟื้นเศรษฐกิจ แจก 1.45 แสนล้าน ตั้งบอร์ดใหม่กระตุ้นบริโภค - ลงทุน

แพทองธาร ลุยฟื้นเศรษฐกิจ  แจก 1.45 แสนล้าน ตั้งบอร์ดใหม่กระตุ้นบริโภค - ลงทุน

ครม.อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท 14.5 ล้านคน ให้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการ รวม 1.4 แสนล้านบาท ดันจีดีพีปีนี้ 0.35% ตั้ง “บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ” พิจารณาแผนเศรษฐกิจปลายปี “คลัง” เตรียมขยายขนาดกองทุนขีดแข่งขัน ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลงทุนในประเทศเพิ่ม

KEY

POINTS

  • รัฐบาลแพทองธาร เริ่มเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษกิจ โดย ครม.วันที่ 17 ก.ย.67อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท 14.5 ล้านคน ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการ รวม 1.45 แสนล้านบาท
  • รัฐบาลคาดนโยบายนี้ดันจีดีพีปีนี้ 0.35% เปรียบเทียบกับไม่มีโครงการ
  • นายกฯ เตรียมตั้ง “บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ” ในสัปดาห์นี้ พิจารณาแผนเศรษฐกิจปลายปี
  • “คลัง” เล็งขยายขนาดกองทุนขีดความสามารถแข่งขัน ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลงทุนในประเทศเพิ่มเติม

รัฐบาล “แพทองธาร” ได้เริ่มเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้แถลงนโยบายกับรัฐสภาไว้โดยในส่วนแรกได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ในกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต มาเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (17 ก.ย.67) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ นอกจากนี้รัฐบาลยังเตรียมที่จะตั้งคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะต่อไป

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยจะเริ่มจ่ายเงินได้วันที่ 25 ก.ย.2567 โดยโครงการนี้ ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้ว

1.4 แสนล้านแจกหมื่นบาท 14 ล้านคน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ จำนวน 14.55 ล้านคน กำหนดแจกเงินผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีคนละ 10,000 บาท โดยอนุมัติงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการในวงเงินไม่เกิน 145,552 ล้านบาท

“รัฐบาลมีความจำเป็นต้องรีบเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.67 นี้ และจะเร่งโอนเงินให้เสร็จในเดือนก.ย. 2567 ทันที”

แพทองธาร ลุยฟื้นเศรษฐกิจ  แจก 1.45 แสนล้าน ตั้งบอร์ดใหม่กระตุ้นบริโภค - ลงทุน

ทั้งนี้ ในการโอนเงินลงไปยังผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการจำนวน 14.55 ล้านคน คนละ 10,000 บาทครั้งนี้ ด้วยระบบการโอนเงินที่มีขีดความสามารถในการจ่ายเงินลงไปให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิมีจำกัด เพียงวันละประมาณ 4 ล้านคน กระทรวงการคลัง จึงต้องแบ่งการจ่ายเงินเป็นงวดๆ ดังนี้

ไทม์ไลน์โอนเงินกลุ่มแรก 

วันที่ 25 ก.ย.2567 โอนเงินให้คนพิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 0 จำนวน 3.28 ล้านคน ,วันที่ 26 ก.ย.2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 1-3 จำนวน 4.51 ล้านคน, วันที่ 27 ก.ย. 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 4-7 จำนวน 4.51 ล้านคน และวันที่ 30 ก.ย.2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 8-9 จำนวน 2.26 ล้านคน

อย่างไรก็ตามรัฐบาลขอให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิในกลุ่มแรกรีบผูกบัญชีพร้อมเพย์กับธนาคารต่างๆ เพื่อช่วยให้การจ่ายเข้าบัญชีทำได้ทันทีตามวันที่ระบุ หากใครที่ตกหล่น หรือบัญชีพร้อมเพย์มีปัญหา จะโอนซ้ำอีก 3 ครั้ง

โดยครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ต.ค.2567'

ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พ.ย.2567

และครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธ.ค.2567

สำหรับ แหล่งเงินงบประมาณที่จะใช้โครงการนี้ประกอบไปด้วย

1.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี พ.ศ.2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท และ 2.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงินไม่เกิน 23,552.40 ล้านบาท

ทั้งนี้ วงเงินที่มีการโอนเงินจะครอบคลุมประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางแบ่งเป็น 2 ส่วนรวมผู้ที่ได้รับเงิน 14.5 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 12.4 ล้านราย และผู้พิการอีกประมาณ 2.1 ล้านราย

โดยโครงการนี้มีประโยชน์คือ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 โดยจ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวได้ 0.35% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

ตั้งคณะทำงานกระตุ้น ศก.ลุยเฟส 2

สำหรับการดำเนินการในเฟส 2 สำหรับกลุ่มผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 36 ล้านคนว่า ก็คงต้องมี เพราะมีคนลงทะเบียนเข้ามาแล้ว ซึ่งในระยะถัดไปรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมาหนึ่งชุด โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณที่มีอยู่ รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่จะต้องเดินหน้าต่อไปด้วย

“จากนี้ไปจะมีคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมานั่งดูอย่างรอบคอบ ซึ่งจะดูในหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งจะจ่ายเงินอย่างไร จ่ายเมื่อไหร่ จ่ายด้วยวิธีไหน ก็คงต้องมานั่งดูกันอีกที”

ปัจจุบันกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาการหาแหล่งเงินมาเติมให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งแต่เดิมมีวงเงินอยู่ในกองทุนนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันเงินในกองทุนได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว

โดยกองทุนนี้ถือว่ามีความสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่เราจะดึงดูดการลงทุนสู้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม นอกจากนี้ในปีหน้าจะเริ่มมีการใช้มาตรการบังคับใช้การเก็บภาษีขั้นต่ำ (Global minimum tax) ที่จะบังคับใช้ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ตามข้อตกลง Pillar 2 ของประเทศขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งต้องมีเครื่องมือในส่วนนี้เอาไว้เป็นส่วนในการดึงดูดการลงทุนด้วย

“ในส่วนของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินนั้นจะใช้งบประมาณไม่เกิน 4 แสนล้านบาท หากจะทำทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งก็จะมีการบริหารงบประมาณแล้วเหลือวงเงินที่จะใช้ในส่วนนี้ได้ก็จะดูให้มีวงเงินที่เหมาะสม”

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับการจ่ายเงินลงไปให้กับกลุ่มคนพิการ ไม่ได้มีกรอบกำหนดเอาไว้ทั้ง อายุ รายได้ หรือเงินฝาก ดังนั้น ถ้าใครที่เป็นผู้พิการที่ลงทะเบียนมีบัตรผู้พิการเอาไว้กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) แล้ว 2.15 ล้านราย และได้รับเงินช่วยเหลือประจำทุกเดือนอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้จะได้รับเงิน 10,000 บาท ครบทุกคน

ทั้งนี้ ในส่วนของการเติมเงินผ่านเงินดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) 10,000 บาท กระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะยังเดินหน้าต่อไป เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยเพิ่มมิติในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลยังเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันในระยะยาวด้วย

รักษาโมเมนตัมเศรษฐกิจปลายปี

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลเห็นว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ มีความจำเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาโมเมนตัมของเศรษฐกิจ ซึ่งเงินก้อนนี้จำนวน 1.45 แสนล้านบาท จะเป็นตัวกระตุ้นในช่วงนี้ต่อเนื่องถึงปลายปี 2567 และจะเป็นแรงส่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อไปด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนต่อไปหลังจากได้โอนเงินกับกลุ่มแรก คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ เสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะแจ้งไทม์ไลน์ที่ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ธนาคารของรัฐมีความพร้อมในการรองรับการลงทะเบียน แต่ขอเลื่อนออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงานกับกลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มเปราะบาง

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การผูกพร้อมเพย์นั้น ผู้มีสิทธิ์ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่จำเป็นต้องไปเปิดบัญชีใหม่ สามารถผูกพร้อมเพย์กับบัญชีธนาคารของตัวเองทุกธนาคารที่มีอยู่เดิมได้

โครงสร้างบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางรวม 14.5 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 12.4 ล้านราย และผู้พิการอีกประมาณ 2.1 ล้านรายซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 โดยจ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวได้ 0.35% และทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ถึง 3% อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาผลกระทบของสถานการณ์น้ำท่วมว่าจะส่งผลมากเพียงใด

สำหรับรายละเอียดการเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสต่อไป กลุ่มประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไปแล้ว ทั้งสิ้น 36 ล้านคน จะมีการตรวจสอบสิทธิผู้ลงทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งเกณฑ์รายได้ เงินออม ประวัติการเข้าร่วมโครงการรัฐ และตรวจสอบรายชื่อที่ซ้ำซ้อนกับประชาชนในเฟสแรก

จากนั้นจะมีการพิจารณารายละเอียดของโครงการในเฟส 2 ต่อไปในคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งจะมาแทนคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตที่พ้นตำแหน่งหลังการเปลี่ยนรัฐบาล

โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นมีกรรมการ ได้แก่ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ

“ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดใหม่ จะไม่มีชื่อเรียกว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอีกต่อไป เนื่องจากจะมีภารกิจและขอบข่ายการทำงานที่กว้างขึ้นในการวางแผนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสมตลอดทั้งปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีหลายภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วน อาทิ กระตุ้นการบริโภค การลงทุน”

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์