“ส.อาหารสัตว์”ชี้"ประกันรายได้ข้าวโพด"คงสมดุลเกษตกร-อุตฯปศุสัตว์
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือ พืชไร่ที่ถูกจับตาว่าเป็นต้นเหตุทำลายป่า แต่ข้าวโพดก็เป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปัจจุบันมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ปัญหา PM2.5
ที่ล้วนเป็นตัวทับถมให้ทำให้ปริมาณข้าวโพดที่จะใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์นั้นลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต้องลดการซื้อข้าวโพดรุกป่าและข้าวโพดที่ผ่านการเผาซึ่งหากคิดตัวเลขที่ซื้อไม่สามารถซื้อได้ 10% เท่ากับข้าวโพดในประเทศจะหายไป 5 แสนตัน
นอกจากนี้ข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าปลอดการเผาและรุกป่าก็จะไม่สามารถนำเข้ามาได้ ซึ่งมีจำนวนนำเข้าเฉลี่ยปีละ 1.5 ล้านตันจะหายไป รวมปริมาณข้าวโพดที่จะหายไปทั้งระบบ 2 ล้านตันต่อปีกำลังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องไม่เพียงอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เท่านั้น แต่ซัพพลายเชนต่อจากนั้นคือการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ไก่ ก็จะได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ข้าวโพดในตลาดมีจำนวนน้อยทำให้ราคาสูงซึ่งทั้งหมดคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแต่ขีดความสามารถการแข่งขันลดลง
พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มีหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยเสนอให้มีการประกันรายได้เกษตรกรในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม และเปิดให้มีการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนเสรีให้เพียงพอต่อความต้องการในราคาที่แข่งขันได้จะทำให้เกษตรกรข้าวโพดได้รับการดูแลไปพร้อมกับเกษตรกรปศุสัตว์ ซึ่งถือเป็นห่วงโซ่เดียวกันขณะเดียวกัน ขอให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการผลิตวัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาตลาดส่งออกสินค้าปศุสัตว์อย่างยั่งยืนต่อไป “หากไม่เปลี่ยนนโยบายวัตถุดิบเตรียมรอรับวิกฤตที่จะเกิดกับภาคปศุสัตว์ต่อไปได้เลย
จากข้อเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหลังสมาคมการค้าพืชไร่เพชรบูรณ์ประกาศหยุดรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรเป็นเวลา 3 วัน โดยอ้างราคาขายตกต่ำเกินกว่าจะทำกำไรนั้น ปัจจุบันราคาข้าวโพดที่โรงงานอาหารสัตว์ซื้อจากผู้รวบรวมอยู่ที่ 10.50 บาท/กก.(ความชื้น14.5%) ราคาที่ผู้รวบรวมควรรับซื้อจากเกษตรกรควรอยู่ที่ 9.70 บาท/กก. (ความชื้น14.5%) และ 7.50 บาท(ความชื้น 30%) แต่ในข้อเท็จจริงเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวความชื้นสูงกว่า 35% จึงถูกผู้รวบรวมซื้อในราคาเหมาที่ 6-6.5 บาท/กก. หรืออาจจะต่ำกว่านั้นถ้าขายทั้งฝัก
“จึงเป็นความจำเป็นของโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่สมาคมฯ ได้หารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ในสมัยที่ยังเป็นเจ้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรว่าราคาข้าวโพดจะไม่ต่ำไปกว่าที่ประกัน แบบไม่ต้องคำนึงถึงการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนชนิดอื่นๆเลย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือรัฐต้องกำกับดูแลให้ความเป็นธรรม อย่าปล่อยให้มีการกดราคาซึ่งผู้รวบรวมจะคงส่วนต่างกำไรไว้เสมอ ”
สำหรับราคาที่โรงงานอาหารสัตว์จ่ายให้แก่ผู้รวบรวมที่ 10.50 บาท/กก.สูงกว่าราคาที่ประกันรายได้ให้เกษตรไทยที่ได้หารือกับกรมการค้าภายในไว้ที่ 9.80 บาท/กก. (ความชื้น14.5%) ณ หน้าโรงงานกรุงเทพปริมณฑล และยังสูงกว่าที่เกษตรกรเวียดนามจ่ายให้ข้าวโพดนำเข้าจากบราซิล อาเจนติน่า และสหรัฐที่มีราคาเพียง 8-9 บาทเท่านั้น สะท้อนปัญหาโครงสร้างนโยบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่บิดเบี้ยวจนทำให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบและทำให้ต้นทุนการผลิตภาคปศุสัตว์ของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
พรศิลป์ กล่าวว่า จุดประสงค์ในการยกราคาข้าวโพดให้สูงขึ้น อาทิ การจำกัดเวลานำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน การกำหนดโควตาภาษีนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก( WTO) รวมถึงมาตรการควบคุมนำเข้าข้าวสาลี ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน เช่น “อุตสาหกรรมไก่เนื้อ” เดิมมีอัตราการส่งออกเติบโตเฉลี่ยปีละ 3-4% แต่หลังจากมีมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีในช่วงปลายปี 2559 ทำให้อัตราการเติบโตของการส่งออกไก่เนื้อรวมถึงการผลิตอาหารไก่เนื้อลดลงเหลือปีละ 1% เนื่องจากวัตถุดิบมีไม่เพียงพอและต้นทุนปรับสูงขึ้น
หากจะให้ไปใช้พืชชนิดอื่นก็ไม่ได้เพราะสารอาหารไม่เท่าข้าวโพด เมื่อการผลิตอาหารสัตว์ต้องสะดุดเพราะไม่มีวัตถุดิบ จำนวนอาหารสัตว์ไม่พอป้อนตัวสัตว์ ราคาอาหารสัตว์จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาเนื้อสัตว์ก็สูงตาม หากพิจารณา Supply Chain ก็จะเห็นว่าไก่ส่งออกก็จะติดขัด ไม่สามารถขยายตลาดได้ ยอดขายกว่าแสนล้านไม่โต กลุ่ม SME จะเป็นกลุ่มแรกที่ไปต่อไม่ไหว หลังจากนั้นภาคปศุสัตว์ของประเทศจะล้มพับทั้งระบบ นับเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับทุกคน