ม.หอการค้าฯ เผย เทศกาลกินเจปี 67 เงินสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 1 %
ม.หอการค้าไทย เผย เทศกาลกินเจปี 67 เงินสะพัด 45,003 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด คนระวังใช้จ่ายเงินเพราะเศรษฐกิจไม่ดี คาด เงินหมื่นดันจีดีพีปี 67 เพิ่ม 0.2%-0.3% โดยกลุ่มคนรับเงินสดจะใช้ซื้อสินค้าหลายครั้ง ส่วนใหญ่ซื้อ เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณี สินค้าอุปโภคบริโภค
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจ ปี 2567 และความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 17 - 23 ก.ย. จำนวนทั้งสิ้น 1,265 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ประชาชนที่ตอบว่าไม่กินเจ อยู่ที่ 63.9% กินเจ 36.1% ซึ่งกลุ่มผู้กินเจ เป็นเพราะตั้งใจทำบุญ 20.2% ลดการกินเนื้อสัตว์ 17.0% ส่วนไม่กินเจเป็นเพราะอาหารเจแพง 26.1% ไม่มีเชื้อสายจีน 23.6% เศรษฐกิจไม่ดี 12.1% โดยมีมูลค่าการเดินทางไปทำบุญเฉลี่ย 4,523.30 บาทต่อ 2-3 วันต่อทริป หรือทำบุญเฉลี่ย 2,081.61 บาทต่อคน
“บรรยากาศกินเจปีนี้ มีความใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยปีนี้จะมีการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจ อยู่ประมาณ 45,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 66 ที่มีค่าใช้จ่าย 44,558 ล้านบาท แต่ถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 เมื่อปี 2562”นายธนวรรธน์ กล่าว
ทั้งนี้คนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยอยู่ ภาพจึงไม่ต่างจากเดิม ตัวเลขบวกขึ้นมาเพียง 1% สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่มองว่ายังไม่ดีขึ้น แม้มีการแจกเงินเข้ามา แต่ไม่ได้ช่วยในช่วงเทศกาลกิจเจมากนัก เพราะกลุ่มผู้กินเจอาจยังไม่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทนี้ โดยคนมองว่าเศรษฐกิจยังแย่กว่าปี 2566 รวมถึงเศรษฐกิจยังนิ่งๆ ทรงตัว และซึมลงกว่าเดิม
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับด้านทัศนะต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรพิการ หรือเงิน 10,000 บาท สำรวจจากผู้ไม่ถือบัตร 80.2% ถือบัตร 19.8% ส่วนใหญ่เลือกเงินโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ 93.0% โดยการใช้เงินจะแบ่งใช้หลายครั้ง 67.3% ใช้ให้หมดในครั้งเดียว 19.2% ไม่แน่ใจ 13.5% จะใช้ซื้อทองคำ/เพชร/อัญมณี 17.8% เครื่องใช้ไฟฟ้า 10.7% เครื่องมือสื่อสาร 8.8% สินค้าอุปโภคบริโภคเช่น อาหาร เสื้อผ้า 8.4% สินค้าวัตถุดิบเพื่อการเกษตรหรือการค้า 8.3%
“กลุ่มคนที่รับเงินสด 1 หมื่นบาทครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะแบ่งใช้จ่ายเงินหลายครั้งโดยจะใช้จ่ายภายในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อซื้อสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศเอง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณี และสินค้าอุปโภคบริโภค"นายธนวรรธน์ กล่าว
ทั้งนี้ เงินหมื่นบาทเฟสแรก มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิ 14.5 ล้านคน วงเงิน 145,000 ล้านบาท จะส่งผลต่อจีดีพีปี 67 เพิ่ม 0.2%-0.3% เกิดการหมุนในระบบเศรษฐกิจ 2-3 รอบ สร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 2.5-4.5 แสนล้านบาท จึงคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัว 2.5-3% ไตรมาส 4 ขยายตัว 3.8-4.3% ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวในกรอบเฉลี่ย 3-3.5% ทำให้ทั้งปี 2567 โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2.6-2.8% มีโอกาสสูงขึ้น