ผู้ประกอบการไทยต้องมองกว้าง มองไกลไปอาเซียน

ผู้ประกอบการไทยต้องมองกว้าง มองไกลไปอาเซียน

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปร่วมการประชุม ASEAN Economic Outlook 2025: The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity ที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้

ทีแรกก็นึกว่าเป็นการรายงานสถานการณ์อาเซียนทั่วไปแบบธรรมดา แต่ที่ไหนได้พบว่าเป็นการประชุมที่มีคุณค่ามาก เปิดให้เห็นการพัฒนาใหม่ ๆ ของภาคเอกชน โอกาสใหม่ที่มีอยู่ข้างหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก

ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าทางออกของเศรษฐกิจไทยที่เหมือนจะตีบตันลงจนเหลือแต่กลยุทธ์ลดแลกแจกแถมนั้น ยังเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์มากขึ้น

           เริ่มต้นกันที่สงครามในยุโรปและภาคตะวันออกกลาง ปรากฏการณ์ของโลกสองขั้วซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิกฤติ แต่ก็ได้สร้างโอกาสใหม่ของประเทศไทย

ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยใหม่ในยุคที่มหาอำนาจแข่งขันกัน ต่างฝ่ายต่างก็ ต้องถอนทุนออกจากกันเพื่อความมั่นคงที่เรียกว่า decoupling

แล้วที่ไหนเล่าจะไม่น่าลงทุนเท่าอาเซียน ซึ่งเป็นอาณาเขตที่มีความเชื่อมโยงกันเองทางด้านกายภาพ ด้านโลจิสติกส์ และไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกัน แล้วอาเซียนเองก็มีประชากรถึง 670 ล้านคน โดยตัวของมันเองก็เป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร  

นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามต่อยอดจุดเด่นของอาเซียนให้เกิดความเชื่อมโยงทางกายภาพให้มากดีขึ้น ปรับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานให้สอดคล้องกัน เชื่อมโยงการไปมาหาสู่ของประชาชนเพื่อให้เกิดเป็นตลาดเดียวที่มีเอกภาพมากขึ้น

คุณขัตติยา อินทรวิชัย CEO ของธนาคารกสิกรไทยได้มาเน้นย้ำถึงความได้เปรียบของไทย ซึ่งมีความเป็นกลางทางด้านภูมิศาสตร์ ค่าจ้างแรงงานที่ยังไม่สูงนัก และมีโอกาสในอาเซียน ซึ่งอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ยังมีประชากรเข้าไม่ถึงบริการของธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก

ผู้ประกอบการไทยต้องมองกว้าง มองไกลไปอาเซียน

หลังจากนั้น ก็มีผู้บริหารของบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลหลายท่านมาพูดถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคบริการ ด้านการศึกษา และภาคการผลิตของไทย

โดยทุกท่านก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่าเงื่อนไขสำคัญแห่งความสำเร็จของไทยคือ การพัฒนาทักษะของคนไทยให้เพียงพอและทันต่อความต้องการ

ในเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งและอยากเสนอว่า แทนที่จะแจกดิจิทัล Wallet 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจนถึง 35 ปี ควรใช้โอกาสนี้ไปฝึกอบรม

โดยให้รับค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 400 บาทต่อทุก ๆ คอร์ส ที่ฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นคอร์สที่เปิดอบรมช่วงเย็น และเสาร์-อาทิตย์ ระยะเวลาต่อคอร์ส 2 เดือน เมื่อสอบผ่านแล้วก็สามารถไปต่อคอร์สที่ 2 และที่ 3 ได้จนครบวงเงิน 10,000 บาท

แทนที่จะแจกเงินให้เปล่า รัฐอาจมอบหมายให้มหาวิทยาลัยหรือบริษัทเอกชนเป็นผู้จัดการหรือจะแจกให้บริษัทเอกชนที่ประสงค์จะรับคนงานใหม่โดยไม่ลดคนงานที่มีอยู่เดิม สามารถนำค่าใช้จ่ายด้านฝึกอบรมนี้มาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

อย่าลืมว่าแรงงานไทยที่มีการศึกษาจะจบจากสายสังคมศาสตร์มากถึงร้อยละ 70 ในขณะที่จบสายวิทยาศาสตร์เพียงร้อยละ 30 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเพิ่มทักษะ (up skill) หรือปรับทักษะใหม่ (reskill) 

ผู้ประกอบการไทยต้องมองกว้าง มองไกลไปอาเซียน

         ถึงแม้แรงงานเหล่านี้ถึงจะเห็นความสำคัญของการมีทักษะใหม่และยินดีที่จะปรับเปลี่ยน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนและเริ่มแล้วจะไปทำงานที่ไหน

รัฐบาลจึงควรมีโครงการเพิ่มทักษะที่ร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้นจะได้จัดการฝึกอบรมให้ตรงตามความต้องการ ส่วนแรงงานเองก็จะมีผู้รับเข้าทำงานทันทีเช่นกัน 

          ส่วนบริษัททางด้านพลังงานพลังงานปิโตรเคมีก็ได้มาแสดงวิสัยทัศน์และโอกาสในอาเซียนให้เห็นอย่างชัดเจนและน่าตื่นตาตื่นใจ

ตลาดทั้งในอินโดนีเซียและเวียดนามยังสามารถขยายตลาดพลังงานสะอาดได้อีกมาก เพราะในขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศยังคงพึ่งพิงการใช้ถ่านหินและน้ำมันเป็นจำนวนมาก

ผู้ประกอบการไทยต้องมองกว้าง มองไกลไปอาเซียน

การนำเสนอของบริษัทกลุ่มต่าง ๆ ทำให้เห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ลงทุนด้าน ESG ไประดับหนึ่งแล้วเหลือแต่ทางรัฐบาลที่ต้องสนับสนุนและให้โอกาสบริษัทขนาดกลางพัฒนาไปสู่ตลาดใหม่ซึ่งมีความคาดหมายด้าน ESG ได้ จะได้ไม่เป็นบริษัทที่ตกเทรนด์

          ทีนี้ก็มาถึงด้านการท่องเที่ยวซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับมอบหมายให้มาพูดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ซึ่งปี Thailand Grand Tourism and Sports 2025 ซึ่งจะมีงานอีเวนท์ต่าง ๆมากมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้น

เรื่องนี้ผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลไทยมักจะจ้องรายได้จากภาคท่องเที่ยวแบบตาไม่กระพริบมากเกินไป อย่าลืมว่าโลกเข้าสู่ยุค ESG และยุคของ safety first หากเราจัดการซัพพลายด้านนี้ไม่สำเร็จ

ทำให้ยังคงมีข่าวรถบัสสาธารณะที่ลุกไหม้อยู่กลางใจเมือง มีการบริหารงานของตำรวจที่ยังไม่สามารถสะสางปัญหาเว็บพนันออนไลน์และเว็บเถื่อนได้ มีคดีที่เรียกรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

การท่องเที่ยวไทยก็จะไม่สามารถไปสู่การท่องเที่ยวแบบอารยะที่มีรายได้สูงได้ รวมทั้งสถานบันเทิงครบวงจรก็จะเป็นเพียงแหล่งพนันบนดิน ในขณะที่แหล่งพนันใต้ดินก็ยังคงมีอยู่เกลื่อนกลาดเหมือนเดิม

         ที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจคือ ตลาดเวลเนสและตลาดเมดิคัลทูริสซึ่ม ซึ่งประเทศไทยยังมีโอกาสใหญ่โตมโหฬาร แต่ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบต่าง ๆ

แต่ปัญหาที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความสามารถในการแข่งขัน แต่เป็นปัญหาที่อาจจะเกิดความเหลื่อมล้ำด้านการรักษาพยาบาลหากเศรษฐกิจภาคนี้เติบโตก็จะดึงบุคลากรแพทย์ไปจากประชากรไทย

วิธีแก้ไขก็คือให้สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือจะเรียกว่าเป็นแซนด์บอกซ์ด้านเวลเนสและเมดิคัล ฮับ ให้สามารถจ้างบุคลากรแพทย์ต่างประเทศเข้ามาทำงานได้

แต่บุคลากรเหล่านี้ต้องสามารถผ่านการรับรองที่เข้มงวดในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ต้องได้ใบรับรองจาก บอร์ดของญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือของยุโรป

งานนี้แสดงถึงศักยภาพและวิสัยทัศน์ของภาคเอกชนไทยโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ ชัดเจนมาก แต่บริษัทเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวาฬเพชฌฆาต (Orca) ของไทย

ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะต้องสนับสนุนให้ SME ของไทยซึ่งเปรียบเสมือนฝูงปลาโลมาให้ตามขบวนไปได้

โดยรัฐบาลอาจจะต้องแก้ไขโดยการปฏิรูประบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเข้ามา ให้อำนาจและหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลให้ชัดเจนและมีพลังการนำพาการปฏิรูปของรัฐมากกว่านี้

แล้วประเทศไทยจึงจะพัฒนาต่อได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนค่ะ