ทองปิดร่วง เหตุบอนด์ยีลด์พุ่ง-ดอลลาร์แข็งทุบตลาด
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1% เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ เป็นปัจจัยกดดันตลาด
ในวันพุธ (23 ต.ค.) สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 30.40 ดอลลาร์ หรือ 1.10% ปิดที่ 2,729.40 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.202 ดอลลาร์ หรือ 3.43% ปิดที่ 33.839 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 11.70 ดอลลาร์ หรือ 1.12% ปิดที่ 1,029.70 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 16.70 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 1,064.70 ดอลลาร์/ออนซ์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.255% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.34% แตะระดับ 104.431 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ส่วนการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ จะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs), เจพีมอร์แกน (JPMorgan) และซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะเดินหน้าทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ซิตี้กรุ๊ปปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าขึ้นสู่ระดับ 2,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และคาดว่าในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านี้ราคาทองจะทะยานขึ้นจนถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์