ผักสด ผลไม้ น้ำมัน ดันเงินเฟ้อเดือน ต.ค. สูง 0.83 %

ผักสด ผลไม้ น้ำมัน ดันเงินเฟ้อเดือน ต.ค. สูง 0.83 %

พาณิชย์ เผย เงินเฟ้อเดือน ต.ค. สูง 0.83 % จากราคาผักสด ผลไม้ น้ำมันดีเซล ปรับสูงขึ้น คาดเดือนพ.ย..ปรับสูงขึ้นอีก คงเป้าเงินเฟ้อทั้งปีที่   0.2 – 0.8 %  ค่ากลาง 0.5%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อเดือนต.ค. 2567 สูงขึ้น 0.83 %  โดยปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลและค่ากระแสไฟฟ้าได้มีการปรับสูงขึ้นเนื่องจากฐานราคาที่ต่ำในปีก่อน ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากภาครัฐมากกว่าปีนี้ ขณะที่ราคาแก๊สโซฮอล์ปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

โดยเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 0.83 %  มาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.95  % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด เช่น ต้นหอม กะหล่ำปลี ผักชี ผักกาดขาว มะเขือ พริกสด กะหล่ำดอก ผลไม้สด ทั้ง เงาะ กล้วยน้ำว้า มะม่วง แตงโม กล้วยหอม  ไก่สด ไข่ไก่ กุ้งขาว เนื้อสุกร และข้าวสารเจ้า กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) น้ำหวาน และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร เช่น น้ำตาลทราย มะพร้าว ผลแห้ง/ขูด) กะทิสำเร็จรูป

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ไก่ย่าง มะนาว น้ำมันพืช หัวหอมแดง กระเทียม ปลาทู และอาหารโทรสั่ง (Delivery) เป็นต้น

ผักสด ผลไม้ น้ำมัน ดันเงินเฟ้อเดือน ต.ค. สูง 0.83 %

หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.04 % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และค่ากระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ค่าเช่าบ้าน ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าบริการส่วนบุคคล  ค่าแต่งผมบุรุษและสตรี และค่าถ่ายเอกสาร ปรับสูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล  เช่น แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาปรับผ้านุ่ม) และเสื้อผ้า  เสื้อยืดบุรุษและสตรี เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี เป็นต้น

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.77 %  ทรงตัวเท่ากับเดือนก.ย. 2567 ที่สูงขึ้น  0.77 % ขณะที่ เงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค. – ต.ค.) ของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สูงขึ้น 0.26 %

 

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า  แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพ.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนต.ค. 2567 โดยปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน  ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือค่ากระแสไฟฟ้าของภาครัฐในปีนี้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา และ สินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าโดยสารเครื่องบิน ซึ่งเป็นการปรับตัวที่สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยว

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่  ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งดือนพ.ย. 2566 มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 70 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ซึ่งส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ปรับตัวลดลง   ราคาผักสดกลับเข้าสู่ระดับปกติ เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวของอุทกภัยและน้ำท่วมหนักในบางพื้นที่สิ้นสุดลง และคาดว่าผู้ประกอบการค้าส่ง - ค้าปลีกรายใหญ่ จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง  0.2 – 0.8 %  ค่ากลาง 0.5%  ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนกันยายน 2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสูงขึ้น 0.61 %  ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 20 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม สปป.ลาว)