‘พิชัย’ ไขข้อข้องใจ ทำไมดัชนี 'หุ้นไทย' ไปไม่ถึง 2,000 จุด

‘พิชัย’ ไขข้อข้องใจ  ทำไมดัชนี 'หุ้นไทย' ไปไม่ถึง 2,000 จุด

“พิชัย”บอกไม่เชื่อตลาดหุ้นไทยจะไปถึง 2 พันจุดได้ เพราะพื้นฐานไม่รองรับจากการขาดการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ เศรษฐกิจยังอยู่บนแพลตฟอร์มเก่า มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกำไร แต่ไม่ได้เอามาลงทุนใหม่ นำไปจ่ายปันผลมากกว่า รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นข้อจำกัดการเติบโตดัชนีหุ้น

KEY

POINTS

  • พิชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยบอกเหตุผลว่าทำไมจึงไม่เคยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไปถึง 2 พันจุดได้
  • ชี้พื้นฐานยังไม่รองรับจากการขาดการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ เศรษฐกิจยังอยู่บนแพลตฟอร์มเก่า รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นข้อจำกัดการเติบโตดัชนีหุ้น
  • ชี้ตลาดหุ้นไทยนักลงทุนชอบเพราะจ่ายปันผลสม่ำเสมอมีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกำไร แต่ไม่ได้เอามาลงทุนใหม่

เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดหุ้น ตลาดทุนมายาวนานสำหรับพิชัย ชุณหวชิร เพราะก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งสำคัญในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เคยดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 18 รวมทั้งเคยนั่งอยู่ในตำแหน่งบริหารและบอร์ดของบริษัทจดทะเบียนในไทยหลายบริษัท

พิชัยได้สะท้อนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าดัชนีหุ้นไทยโดยพื้นฐานแล้วคงอยู่ที่ระดับ 1,600 – 1,700 จุด วนเวียนอยู่ในระดับนี้แต่ไม่ขึ้นไปถึง 2,000 จุด   

‘พิชัย’ ไขข้อข้องใจ  ทำไมดัชนี \'หุ้นไทย\' ไปไม่ถึง 2,000 จุด

 “ใครที่บอกว่าหุ้นไทยจะไป 2,000 จุดผมไม่เคยเชื่อเลย เพราะแม้นักลงทุนจะชอบตลาดหุ้นไทย แต่การชอบนั้นคือเอาเงินเข้ามาลงทุนเพื่อรับปันผล เมื่อได้รับปันผลแล้วก็ขายหุ้นออกไป ประเทศไทยมีบริษัทในลักษณะนี้มากคือมีกำไร มีเงินแต่ไม่ได้เอาไปลงทุนต่อแต่เอาไปจ่ายปันผลให้กับนักลงทุน เศรษฐกิจไทยจึงยังอยู่บนแพลตฟอร์มและการผลิตที่เป็น Old Production” นายพิชัยกล่าว

ทั้งนี้การที่ไม่เกิดกาลงทุนเพิ่มก็มาจากปัญหาหลายๆอย่างที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีปัญหาเรื้อรัง ขาดการลงทุนใหม่ๆที่จะทำให้แทบจะไม่เกิดบริษัทที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้ภาพของประเทศไทยเรานั้นเป็นเหมือนกับเศรษฐีเก่า เป็นคนรวยฐานะดี แต่มองไม่เห็นอนาคต เพราะเรายังกินบุญเก่าไม่ได้มีเครื่องยนต์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป

ขณะที่การลงทุนในเรื่องของคนที่จะเป็นเรื่องของการอัพสกิล รีสกิล ก็ยังต้องทำต่อเนื่องเพื่อรองรับการดึงการลงทุนในสาขาที่สำคัญไทยเรามีการดึงเข้ามาลงทุนในประเทศซึ่งจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมความพร้อม

 

นายพิชัยกล่าวด้วยว่าการจะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และนำมาพัฒนาให้เกิดผลประโยชน์ในเชิงบวกกับเศรษฐกิจได้นั้นต้องใช้ระยะเวลา บางเทคโนโลยีต้องใช้เวลา 20 – 25 ปี ซึ่งหากไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมายกระดับการผลิตและนำมาสร้าง New S Curve ให้กับเศรษฐกิจไทยได้นั้นต้องอาศัยประโยชน์จากการที่มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาในไทยนำมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยต่อไปในระยะยาว