"อินเดีย" ‘ตลาดโตเร็ว’ โลจิสติกส์ปัญหาใหญ่นักลงทุน

"อินเดีย" ‘ตลาดโตเร็ว’ โลจิสติกส์ปัญหาใหญ่นักลงทุน

"สคต.เมืองนิวเดลี "อินเดีย เผย ตลาดอินเดียโตเร็ว กำลังซื้อสูง ความต้องการสินค้าเพิ่มต่อเนื่อง พร้อมดึงนักลงทุนต่างชาติ โอกาสผู้ประกอบการไทย แนะศึกษากฎหมาย และวัฒนธรรมแต่ละรัฐ ชี้ระบบโลจิสติกส์เป็นปัญหาสำหรับการขนส่งสินค้า แถมต้องเผชิญภาษีนำเข้าสูง

"อินเดีย" มีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน และชนชั้นกลางที่เติบโตเร็ว กำลังซื้อและความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารแปรรูป และเทคโนโลยี 

นางสาวสุจิรา ปานจนะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า รัฐบาลอินเดียมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น Make in India และ Production-Linked Incentive (PLI) ที่สร้างโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน และสร้างโรงงานในอินเดีย

ทั้งนี้อินเดียมีความโดดเด่นในด้านการเปิดตลาดด้านบริการ และเทคโนโลยี ซึ่งธุรกิจด้านไอที ฟินเทค และโลจิสติกส์เติบโตก้าวกระโดด  รวมทั้งอินเดียมีแรงงานด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นโอกาสดีในการร่วมลงทุนหรือจ้างงานในธุรกิจที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

สำหรับข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ช่วยลดภาษีนำเข้า และส่งเสริมการค้า จำนวน 83 รายการ และ FTA อาเซียน-อินเดีย จำนวน 5,200 รายการ 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวสูง และมีนโยบายดึงการลงทุนจากต่างประเทศ แต่นักลงทุนต่างประเทศต้องเผชิญความท้าทายและความซับซ้อนของระบบราชการ เพราะอินเดียมีระบบการปกครองที่ประกอบด้วยรัฐบาลกลาง และรัฐบาลของแต่ละรัฐ (State Governments) ทำให้มีหน่วยงานราชการแตกต่างทั้งระดับกลาง และระดับรัฐ 

รวมทั้งทำให้การติดต่อประสานงานหน่วยงานราชการซับซ้อน และต้องใช้เวลามาก โดยกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับแต่ละรัฐแตกต่างกันด้วย

 

 

 

ภาษา และวัฒนธรรมแตกต่างกัน

นอกจากนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และตลาด ซึ่งทำให้การวางแผน และดำเนินธุรกิจต้องปรับตัวหลายด้าน เพราะอินเดียประกอบด้วย 28 รัฐ และ 8 ดินแดนสหภาพ โดยมีภาษา และวัฒนธรรมแตกต่างกัน 380 ภาษา และศาสนาหลัก เช่น ฮินดู อิสลาม คริสต์ และซิกข์ 

สำหรับความหลากหลายนี้ส่งผลต่อรสนิยม และความต้องการของผู้บริโภค เช่น อาหารหรือสินค้าภาคเหนืออาจไม่เหมาะกับตลาดภาคใต้ ขณะที่ภาษาอังกฤษ และภาษาฮินดีใช้กันแพร่หลาย แต่บางตลาดท้องถิ่นต้องใช้ภาษาถิ่นเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ​

รวมทั้งการแข่งขันสูงนอกจากบริษัทท้องถิ่นแล้ว ยังมีบริษัทจากต่างประเทศจำนวนมากที่เข้ามาในตลาดอินเดีย ทำให้การแข่งขันด้านราคา และคุณภาพสินค้าเข้มข้น

ปัญหาใหญ่ "โลจิสติกส์-ภาษีนำเข้า"

ขณะที่โครงสร้างพื้นฐาน และโลจิสติกส์ยังเป็นปัญหาแม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แต่ระบบขนส่ง และโลจิสติกส์ในบางพื้นที่ยังคงท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมาตรฐานในไทย

ส่วนปัญหา และอุปสรรคที่ผ่านมา อินเดียออกมาตรการทางภาษีนำเข้าสูง (High Import Duties) ในสินค้าบางประเภทเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ เช่น สินค้าประเภทพลาสติก และเครื่องประดับที่มีอัตราภาษีสูง ทำให้ผู้ส่งออกต้องปรับกลยุทธ์ในการแข่งขัน ภาษีสินค้าและบริการ (GST)

ทั้งนี้ระบบภาษีอินเดียมีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ทั้งในระหว่างรัฐ และสินค้าประเภทต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอางที่ต้องเสียภาษีสูงถึง 28% ขณะที่สินค้าพื้นฐานอาจอยู่ระหว่าง 5-18% ผู้ประกอบการต้องเข้าใจ HS Code ที่ถูกต้องของสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงความซับซ้อนในการประเมินภาษีผิดพลาด​

นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การควบคุมใบอนุญาต (Licensing Requirements) รวมถึงสินค้าบางประเภทต้องได้รับใบอนุญาตก่อนนำเข้าสู่ตลาด เช่น สินค้าด้านอาหารและยา ซึ่งต้องได้รับการขึ้นทะเบียนกับ FSSAI (Food Safety and Standards Authority of India) เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้ามีคุณภาพ และปลอดภัย

มาตรการจำกัดการนำเข้า เช่น ยางล้อ โทรทัศน์สี (ผู้นำเข้าต้องยื่นขออนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศล่วงหน้า และต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะนำเข้าได้) มาตรฐานคุณภาพ และการทดสอบ (Quality Standards and Testing)

สินค้าที่นำเข้าโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบ และการทดสอบตามมาตรฐานที่กำหนดโดย Bureau of Indian Standards (BIS) คล้ายกับมาตรฐานอุตสาหกรรมของไทย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องไปตรวจโรงงานที่ไทย และมีการส่งสินค้ามาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ จึงทำให้การนำเข้าสินค้าใช้เวลานานขึ้น

ข้อบังคับฉลากต้องมีภาษาท้องถิ่น

ข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์ และฉลาก (Packaging and Labeling Requirements) อินเดียมีข้อบังคับเกี่ยวกับฉลากสินค้า เช่น ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มา น้ำหนัก วันหมดอายุ และต้องมีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นในบางกรณีเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค มาตรการจำกัดด่านนำเข้า เช่น กรณีผลไม้ตัดดอกสดให้ผ่านทางด่านท่าอากาศยานเจนไน

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบกะทันหัน และเพิ่มแบบฟอร์มในการนำเข้าสินค้า เช่น ศุลกากรอินเดียให้ผู้ส่งออกแสดงใบกำกับสินค้า (INVOICE) และระบุมูลค่าFOB ในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวในการทำธุรกิจที่มีการซื้อขายผ่านนายหน้า 

สำหรับการแก้ปัญหาที่ผ่านทางผู้ช่วยทูตพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการประสานแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้การส่งออกสินค้าไทยมายังอินเดียได้เพิ่มมากขึ้น

แนะสร้างพันธมิตรนักธุรกิจท้องถิ่น

ส่วนข้อเสนอแนะในการทำธุรกิจในอินเดีย นักลงทุนหรือผู้ประกอบการไทยต้อง สร้างพันธมิตรในท้องถิ่น การมีคู่ค้าในอินเดียช่วยลดอุปสรรคด้านการดำเนินงาน และเพิ่มความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอินเดียการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละภูมิภาคจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีขึ้น

รวมถึงการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือโครงการจับคู่ธุรกิจจะช่วยเปิดโอกาสในการขยายเครือข่าย และเข้าถึงลูกค้าใหม่ ซึ่งหลายหน่วยงานราชการของไทยให้การสนับสนุน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ

นอกจากนี้ สินค้าไทยที่มีศักยภาพในการทำตลาดในอินเดีย

1.อาหาร และเครื่องดื่ม (Food & Beverage)

2.ผลไม้สดและแปรรูป

3.เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา (Cosmetics & Wellness Products)

4.อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ (Home Decor & Furniture)

5.อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน (Automotive & Parts) เช่น ยางพารา และชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์เสริมรถยนต์ เช่น เบาะนั่ง อุปกรณ์แต่งรถ และระบบเสียง

6.อัญมณี และเครื่องประดับ

7.สินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Agricultural Products & Health Supplements)

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์