‘อินเดีย’ ตลาดใหญ่อุปสรรคเยอะ แนะไทยยึดพื้นที่ลงทุน ‘รัฐเจ็ดสาวน้อย’

‘อินเดีย’ ตลาดใหญ่อุปสรรคเยอะ แนะไทยยึดพื้นที่ลงทุน ‘รัฐเจ็ดสาวน้อย’

สภาธุรกิจไทย-อินเดีย มอง “ตลาดอินเดีย” กำลังเติบโต มีปัจจัยเอื้อหนุนดึงการลงทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดีย วางตัวเหนือปัญหาขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดใหญ่แต่อุปสรรคเยอะ “พาณิชย์” แนะ 7 กลุ่มธุรกิจลงทุนอินเดีย

นางสาวปริม จิตจรุงพร ประธานสภาธุรกิจไทย-อินเดีย  เปิดเผยว่า  อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจหรือจีดีพีใหญ่มากขนาด 3.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยปี 2567 ตั้งเป้าขยายตัว 7% ขณะที่ล่าสุดขยายตัวแล้ว 6.7-6.8 % ซึ่งปี 2567 ไม่น่าจะพลาดเป้าหมายจึงทำให้อินเดียเป็นประเทศที่หลายประเทศเข้าไปลงทุนมาต่อเนื่อง

รวมทั้งด้วยความที่เศรษฐกิจอินเดียใหญ่มากและอินเดียมีข้อได้เปรียบจากที่มีประชากรวันทำงานจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ประชากรกำลังเข้าสู่วัยผู้อายุ

อีกทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนให้คนในอินเดียได้รับการศึกษา ทำให้คนวัยแรงงานมีการศึกษา มีความรู้ในการทำงาน โดยปัจจุบันประชากรที่เคยมีรายได้น้อยขยับมีรายได้มากขึ้นทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น และรัฐบาลอินเดียเปิดให้ผู้หญิงทำงานมาก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอินเดีย 

รวมทั้งปัจจัยที่สำคัญอีกประเด็น คือ การเมืองอินเดียค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งมีวาระ 5 ปี และเป็นกี่วาระก็ได้เป็นปัจจัยบวกสำคัญ และนายโมดี มีนโยบายสำคัญที่สนับสนุนการลงทุน โดยมีหน่วยงาน Invest India ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของอินเดียทำหน้าที่ช่วยเหลือนักลงทุนอินเดียและต่างชาติ

ทั้งนี้แม้อินเดียเป็นตลาดใหญ่แต่มองความใหญ่ไม่ได้ เพราะมี 28 รัฐ ที่มีความแตกต่างทั้งระบบราชการ กฎหมาย ภาษาท้องถิ่น ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งแต่ละรัฐไม่เหมือนกันและอาจพูดได้ว่า 28 ประเทศ รวมเป็น 1 ประเทศ 

ดังนั้นนโยบายการลงทุนและการค้าของบางรัฐจะเป็นผู้อนุมัติเอง เพราะมีกฎหมายเฉพาะที่รัฐแต่ละรัฐนำมาบังคับใช้ เช่น กฎหมายภาษี การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 

นอกจากนี้ อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก 1,400 ล้านคน ด้วยความที่มีประชากรมากจึงเป็นตลาดใหญ่มีความต้องการสินค้ามาก แต่ตลาดอินเดียไม่ใช่ว่าจะขายสินค้าอะไรก็ได้ เพราะอินเดียมีตลาดระดับบนและตลาดล่าง 

สำหรับตลาดระดับบนจะเป็นตลาดไฮเอนด์ (High-end market) ซึ่งมีประชากร 300-400 ล้านคน เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ดังนั้นต้องเป็นสินค้าระดับบนหรือสินค้าพรีเมียม เช่น จิวเวลรี่ อัญมณีและเครื่องประดับ เพชร สินค้าแบรนด์เนม

นางสาวปริม กล่าวว่า อินเดียเป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่งเพราะอินเดียมีทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศลักษณะนี้มีไม่มาก แต่อินเดียแตกต่างด้านภูมิประเทศ ดังนั้นหากจะลงทุนหรือค้าขายต้องพิจารณาละเอียด 

สำหรับด้านการลงทุนรัฐบาลอินเดียก็มีนโยบายที่สนับสนุนการลงทุน ซึ่งบริษัทของไทยที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย เช่น ซีพีเอฟ ซัมมิทออโตพาร์ท อิตัลไทย เอสซีจี ศรีไทยซุปเปอร์แวร์

แนะไทยยึดพื้นที่ลงทุน“รัฐเจ็ดสาวน้อย”

รวมทั้งที่ผ่านมาได้ยิน “รัฐเจ็ดสาวน้อย” ซึ่งเป็นดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญ และปัจจุบันเพิ่มเป็น 8 รัฐ หลังจากรวม"รัฐสิขิม" เรียกว่า 7 สาวน้อยกับ 1 หนุ่ม 

ทั้งนี้ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่รัฐบาลสนับสนุน โดยรัฐอัสสัม โดดเด่นสินค้าชา ผลไม้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ และภาคเอกชนได้หารือว่าควรเข้าทำธุรกิจ และยึดเป็นพื้นที่สำคัญทางการค้าและการลงทุนของไทย เพราะมีปัจจัยเอื้อหนุน เช่น ใช้เวลาขนส่งทางถนนจากไทยไม่เกิน 2 วัน ซึ่งใกล้กว่าไปนิวเดลีผู้คนแถบนี้มีหน้าตาคล้ายคนไทยและชอบสินค้าไทย

นางสาวปริม กล่าวว่า สำหรับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของอินเดียสนับสนุนโลกหลายขั้วอำนาจและวางตัวเป็นกลาง ซึ่งส่งผลดีต่ออินเดียชัดเจนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงกว้าง 

นอกจากนี้ อินเดียเข้าร่วมกลุ่ม Quadrilateral Security Dialogue (Quad) 4 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย, อินเดีย, ญี่ปุ่นและสหรัฐ  รวมถึงเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS สะท้อนว่าอินเดียเป็นมิตรทุกประเทศ โดยกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่อินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียและค้าขายกับสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลอินเดียมีนโยบายยึดผลประโยชน์ประเทศ

สำหรับธุรกิจที่มีโอกาสลงทุนอินเดีย 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหารแปรรูป ธุรกิจจิวเวลรี่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอินเดียมีนโยบาย Housing for all จึงต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้อง

ส่วนนักธุรกิจไทยที่จะลงทุนอินเดีย มีข้อเสนอ คือ 1.ควรปรับ Mindset อย่ามองคนอินเดียในรูปแบบเดิมเพราะอินเดียมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น 2.ลงทุนธุรกิจที่เหมาะสมกับเมืองที่จะไปลงทุน 3.ศึกษากฎหมาย ระเบียบ กติกาและมารยาทให้ถ่องแท้ เพราะอินเดียเป็นประเทศกำลังพัฒนากฎหมาย โดยบางส่วนมีการปกป้องเอสเอ็มอี เช่น การไม่ลงนามในอาร์เซ็ป

แนะ7กลุ่มธุรกิจลงทุนอินเดีย

นางสาวสุจิรา ปานจนะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย กล่าวว่า ข้อเสนอแนะในการทำธุรกิจในอินเดีย นักลงทุนหรือผู้ประกอบการไทยต้อง สร้างพันธมิตรในท้องถิ่น 

สำหรับการมีคู่ค้าในอินเดียช่วยลดอุปสรรคด้านการดำเนินงานและเพิ่มความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอินเดียการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละภูมิภาคจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีขึ้น

รวมถึงการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือโครงการจับคู่ธุรกิจจะช่วยเปิดโอกาสในการขยายเครือข่ายและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ซึ่งหลายหน่วยงานราชการของไทยให้การสนับสนุน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกระทรวงการต่างประเทศ

นอกจากนี้สินค้าไทยที่มีศักยภาพในการทำตลาดในอินเดีย 7 กลุ่ม ดังนี้

1.อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) 2.ผลไม้สดและแปรรูป 3.เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา (Cosmetics & Wellness Products) 4.อุปกรณ์ตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (Home Decor & Furniture)

5.อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน (Automotive & Parts) เช่น ยางพาราและชิ้นส่วนยานยนต์อุปกรณ์เสริมรถยนต์ เช่น เบาะนั่ง อุปกรณ์แต่งรถ และระบบเสียง 6.อัญมณีและเครื่องประดับ 7.สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Agricultural Products & Health Supplements)