หอการค้าไทย ชม 3 เดือน รัฐบาลอิ้งค์สอบผ่าน

หอการค้าไทย  ชม 3 เดือน รัฐบาลอิ้งค์สอบผ่าน

หอการค้าไทย ให้รัฐบาสอบผ่านทำงาน 90 วัน ชี้ มีความพยายาม ตั้งใจผลักดันนโยบายใหม่ภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ ประเมินเศรษฐกิจปี 68 ไม่ต่างกับปี 67 ต้องเจอความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ฝากเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า   หอการค้าไทยต้องขอชื่นชมรัฐบาลในภาพรวมการทำงานตลอดช่วง 90 วันที่ผ่านมาของรัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร โดยเฉพาะในประเด็นความพยายามและความตั้งใจ ซึ่งหลายนโยบายของรัฐบาลดำเนินมาถูกทางและทำได้ดี อาทิ ด้านการท่องเที่ยว และซอฟเพาเวอร์ เพื่อทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยกลับมาเติบโตได้โดดเด่นตั้งแต่การยกเลิกวีซ่าเข้าไทยกับหลายสิบประเทศทั่วโลก การปรับขั้นตอนและอำนวยความสะดวกคนเข้าเมือง

ขณะเดียวกันภายในประเทศก็มีการเร่งโปรโมทนโยบายซอฟพาวเวอร์ ทั้งด้านอาหาร การจัดบิ๊กอีเว้นท์และเฟสติวัล เทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้มีผลต่อความเชื่อมั่น กระตุ้นให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทำให้วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 32 ล้านคน (ข้อมูล 1 ม.ค. - 8 ธ.ค. 2567) ซึ่งส่วนนี้หากมีการวางแผนและเพิ่มการประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น เชื่อว่าปีหน้าอาจทำให้เราได้เห็นนักท่องเที่ยวกลับมาแตะ 40 ล้านคนได้

ด้านการดึงดูดการลงทุน ส่วนนี้ก็ต้องชื่นชมความพยายาม ของรัฐบาลในการดึงบิ๊กคอร์ป ยักษ์ใหญ่ของโลกในด้านเทคโนโลยี เข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ Data Center, Cloud Service, อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน EV, การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีตัวเลขการเข้ามาลงทุน เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายสนั่น กล่าวว่า อีกส่วนคือ ความพยายามในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจ ที่เป็นเหมือนตัวฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในวันนี้ แม้ว่าการแก้ไขปัญหาหนี้ และตัวเลขหนี้สาธารณะยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แต่ก็เห็นถึงความพยายามของรัฐบาล โดยเฉพาะการรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ซึ่งหอการค้าฯ ขอบคุณรัฐบาลที่ได้ตอบรับข้อนำเสนอหลายมาตรการของเอกชน

โดยหลักใหญ่ใจความสำคัญคือการเร่งแก้ไขหนี้ให้กับคนไทย โดยเฉพาะหนี้รถปิกอัพ ที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชนไม่ให้ถูกยึด รวมถึงการพิจารณาลด ยืด หนี้ของประชาชน ซึ่งได้นำมาสู่ นโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลในวันนี้ ส่วนนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนแล้ว ยังจะช่วยสร้างโอกาสและลดความเลื่อมล้ำได้มาก

จากที่รัฐบาลประกาศแผน 11 นโยบาย เพื่อ “โอกาส” ของคนไทย โดยแบ่งเป็น 5 นโยบายเร่งด่วนที่จะทำทันทีในปีหน้า ประกอบด้วย โครงการ SML หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ดิจิทัลวอลเล็ต  การแก้หนี้ครัวเรือน และ บ้านเพื่อคนไทย ผนวกกับ 6 นโยบายเชิงโครงสร้างระยะยาว ประกอบด้วย  การจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้ง  การแก้ปัญหาหมอกควัน PM 2.5  ปัญหายาเสพติด  การทลายการผูกขาด  การแก้ปัญหาธุรกิจนอกระบบ และ นโยบายการลงทุน ส่วนนี้หอการค้าฯ เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาศและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

นายสนั่น กล่าวว่า  สำหรับปี 2568 หอการค้าไทย ยังประเมินเบื้องต้นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอาจไม่โดดเด่นไปมากกว่าปีนี้มากนัก เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ปัญหาสงครามในหลายภูมิภาค การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งยังขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี Impact ต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจในช่วงต้นปีแรกของปี 2568

ดังนั้น หอการค้าฯ จึงอยากฝากให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ โดยภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนและต้นทุนของผู้ประกอบการ รวมถึงการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี มาตรการส่งเสริมการลงทุน และการท่องเที่ยว ในจังหวัดที่มีศักยภาพ หรือจังหวัดที่เป็นเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ และความเจริญให้ทั่วถึง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงรุก Soft Power ของรัฐบาล จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวปีหน้าให้เติบโตได้ก้าวกระโดด

ขณะเดียวกันโจทย์ใหญ่อย่างการแก้ไขปัญหาหนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และพิจารณามาตรการเฉพาะในหนี้แต่ละประเภท ซึ่งส่วนนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล สถาบันการเงิน หน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชน

สำหรับภาคการส่งออก ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 68 ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกหลัก อาทิ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดพลาสติก และยางล้อ ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมกันเตรียมความพร้อมรับมือเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าและส่งออกกับสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องขอชื่นชมภาครัฐที่สามารถเจรจาความตกลงการค้าเสรีภายใต้ FTA-EFTA ระหว่างประเทศไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปได้สำเร็จ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการค้า การส่งออกของไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยดูแลการค้าให้เป็นธรรม ไม่เป็นตลาดที่ดัมพ์สินค้าไร้คุณภาพ ซึ่งจะทำลายตลาดระยะยาวของประเทศ

ทั้งนี้ ข้อเสนอสมุดปกขาว ทั้งจากหอการค้าไทย และ กกร. ที่ได้รวบรวมความคิดเห็นของภาคเอกชนทั่วประเทศ จัดทำเป็นข้อเสนอและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลสามารถนำไปพิจารณา และปรับเป็นมาตรการที่เหมาะสมก็จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถที่จะเดินหน้า ท้าทายกับความผันผวนของเศรษฐกิจปี 2568 ได้อย่างเข้มแข็ง และสามารถเติบโตได้เป้าหมายต่อไป โดยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่าจีดีพีปี 2568 อาจเติบโตได้ในกรอบ 2.8 - 3.2%