EXIM BANK คาดส่งออกไทยปี 68 โต 3% รับเศรษฐกิจโลกขยายตัว

EXIM BANK คาดส่งออกไทยปี 68 โต 3% รับเศรษฐกิจโลกขยายตัว

EXIM BANK คาดส่งออกไทยปี 68 โต 3% รับเศรษฐกิจโลกขยายตัว ชี้ยังต้องจับตาปัจจัยกดดันจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า 2.0 แนะผู้ประกอบการไทยปรับตัวเจาะเทรนด์โลก

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง

“ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ที่ทำงานพร้อมกันทั้งจากอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่โอกาสของธุรกิจไทยยังมีอยู่อีกมากในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการตอบโจทย์เทรนด์ของตลาดโลก"

โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะขยายตัว 3.2% ตลาดที่มีศักยภาพมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูง ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย ขยายตัว 6.5% CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) 5.3% อาเซียน 5 ประเทศ 4.5% และตะวันออกกลาง 3.8% 

ขณะที่การค้าโลกปีหน้าจะขยายตัว 3.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8% ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% สำหรับสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง 
 

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ 

3 หมวดสินค้าไทยคิดอันดับส่งออก

ทั้งนี้ ยังมีสินค้าส่งออกที่มีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะ 3 หมวดสินค้าที่ไทยติดอันดับผู้ส่งออกสูงสุดในโลก ได้แก่

  1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง
  2. สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์
  3. สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 

นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าบางประเภทเพิ่มขึ้นจากอานิสงค์ของนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศ และหม้อแปลงไฟฟ้า ที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้

แนะ SME แข่งสินค้าจีน ต้องหาจุดแข็งใหม่ 

นายรักษ์ กล่าวว่า ท่ามกลางสินค้าจีนที่กำลังเข้ามาท่วมในตลาดโลก ผู้ประกอบการไทยควรต้องปรับตัวหากกำลังผลิตสินค้าที่ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนได้ ไม่ควรฝืน เราไม่ควรไปชนกับสินค้าจีนที่เราแข่งไม่ได้ แต่ควรหันไปพัฒนาจุดแข่งของเราที่สามารถแข่งขันกับจีนได้เช่น การผลิตอาหารสัตว์ เครื่องประดับเงิน เครื่องปรับอากาศ เครื่องสำอาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาด SMEs ของไทย จำเป็นต้องปรับตัวเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของจีนให้ได้ ซึ่ง EXIM BANK ได้ตัดตั้ง Business Development Unit เพื่อดึง SMEs ไทยให้สามารถเข้าสู่ซัพพลายเชนของจีนให้ได้  อีกทั้ง EXIM BANK ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ ICBC สถาบันการเงินของจีน เพื่อออกสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย ที่ต้องการเข้าสู่ซัพพลายของจีน

"คนจีนเองก็ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้อสินค้าที่จีนผลิตเท่านั้น แต่ยังอยากซื้อสินค้าจากประเทศอื่นโดยเฉพาะสินค้าจากไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่า คนจีนยังเป็น Top Spender ของสินค้าไทย เพียงแต่ว่าเราต้องปรับตัวเอง ให้สามารถผลิตสินค้าในต้นทุนที่ต่ำลง"

คาดปี 67 แบงก์ทำกำไร 1 พันล้าน

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี2023 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปีนี้ EXIM BANK จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ แผนการดำเนินธุรกิจใหม่ของ ธนาคาร ในการค้ำประกันหุ้นกู้ให้กับบริษัทเอกชนที่ต้องการระดมเงินทุนผ่านช่องทางการ Bond โดย EXIM จะเข้าไปทำธุรกิจ Bond Guarantee และธนาคารยังมีแผนที่จะเข้าไปทำธุรกิจในการช่วยบริหารจัดการกองทุนที่มาจากต่างประเทศ ที่ต้องการสินเชื่อให้เปล่า (Grant) แก่ธุรกิจที่ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ออสเตรเลียที่มีการทำเหมืองแร่มาก และมีการปล่อยคาร์บอนสูง ดังนั้นจึงต้องการหาคารบอนเครดิตเพื่อมาชดเชยกับการปล่อยคาร์บอน ซึ่ง EXIM จะเข้าไปช่วยบริหารโดยการ หาธุรกิจที่ต้องการเงินทุน หรืออาจเข้าไปร่วมปล่อยกู้ในลักษณะ Syndicated loan ก็ได้

"EXIM BANK เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออก ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยเสริมหรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้นในเวทีโลก นำพาธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลกปัจจุบัน”