โพลปีใหม่ 68 เงินสะพัด 1.09 แสนล้านบาท

โพลปีใหม่ 68 เงินสะพัด 1.09 แสนล้านบาท

ม.หอการค้าไทย เผยเงินสะพัด เทศกาลปีใหม่ 109,313  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 3.2% แม้ประชาชนระวังการใช้จ่าย "ธนวรรธน์" ชี้ เศรษฐกิจฟื้นครึ่งปีแรก ปี 2568 หนุนปรับโครงสร้างภาษี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย  อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2568 ว่า   ปีใหม่ ปี 2568  ถือว่าคึกคัก คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 109,313  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน  3,389 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.2% สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ ยังระมัดระวังการใช้จ่ายเพราะมองว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น สะท้อนจากปริมาณการซื้อสินค้าที่มีจำนวนเท่ากับปีก่อน 

ทั้งนี้ยังมองเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะเริ่มฟื้นในไตรมาส 1-2 ของปีหน้า แต่ยังมีจุดสำคัญที่จะมีผลกระทบ คือ ภาพของปัญหาการเมืองยังไม่ชัดเจนซึ่งจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 หากมีปัญหารัฐบาลยุบสภา จะทำให้มีผลต่อการพิจารณา งบประมาณประจำปี 2569 ที่อยู่ในช่วงการพิจารณาในวาระ 3 หากไม่ผ่านจะทำให้มีปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ

แต่หากไทยเศรษฐกิจไทยฟื้นในช่วงไตรมาส 2  หรือประมาณเดือนต.ค.2568 ไทยอาจจะต้องเพิ่มการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% และเป็นแบบทยอยขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีคนเสียภาษีในระบบเพียง 4 ล้านคน และไทยมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งรายได้จากการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องลดลง เพื่อดึงดูดการลงทุน ที่จะไหลเข้ามาจากสงครามการค้าจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ในขณะที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ

นางเสาวณีย์  ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำของสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   กล่าวว่า ประชาชนมีแผนการนำเงินไปใช้จ่าย 2 ส่วนคือ 1.ใช้เพื่อการท่องเที่ยว รวม 51,472 ล้านบาท โดยมีแผนเดินทางไปเที่ยวในต่างประเทศ  5,475 ล้านบาท และเที่ยวในประเทศ 45,997 ล้านบาท และ2.ใช้ทำกิจกรรมอื่นๆ 57,841 เช่นซื้อสินค้าคงทน เลี้ยงสังสรรค์ ทำบุญ และซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยสินค้าที่ประชาชนส่วนใหญ่  26.5% ซื้อคือ กระเช้าของขวัญ รองลงมา คือ ใช้เพื่อการจัดเลี้ยงสังสรรค์  แจกเงินสด และซื้อสุรา เป็นต้น 

สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้จ่ายในช่วงปีใหม่ จากการสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 47% นำเงินเดือน และรายได้ปกติมาใช้ รองลงมาคือ เงินออม ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าในปีนี้สัดส่วนการนำเงินออมมาใช้จ่ายปรับเพิ่มขึ้นจาก 37.4% เป็น 45.6% สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เงินเดือนไม่พอใช้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์