เบรกรับซื้อไฟสะอาด 3 พันเมกะวัตต์ ป่วนแผนธุรกิจฉุดเชื่อมั่นลงทุน

"เอกชน" ชี้เบรกประมูลไฟสะอาด 3.6 พันเมกะวัตต์ ทำแผนธุรกิจรวน ชี้เฟส 2 กระจายผู้ผลิต เสนอฝ่ายการเมืองรับฟังข้อเท็จจริงเน้นประโยชน์ประเทศ ห่วงเปิดประมูลใหม่ผู้ชนะรอบแรกคว้าชัย "กันกุล" เผยไม่กระทบแผนธุรกิจ ระบุทุกโครงการมีขั้นตอนการตรวจสอบ และอยู่ในกรอบก่อนลงนาม PPA
การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 25 ธ.ค.2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช.มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม
ทั้งนี้ กพช.มีมติชะลอรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) จำนวน 3,660 เมกะวัตต์ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ กพช.ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2566 โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง
ขณะที่เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2567 นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ.ลงนามประกาศ เรื่อง รายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือก ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ.2567
รวมทั้งการประชุม กกพ.วันที่ 16 ธ.ค.2567 เห็นชอบผลคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม 72 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 2,145.4 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลม 8 ราย รวม 565.40 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ SCOD ตั้งแต่ปี 2571 - 2573 และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 64 ราย รวม1,580 เมกะวัตต์ กำหนด SCOD ตั้งแต่ 2569 - 2573
นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับการคัดเลือก เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ผ่านการคัดเลือกพลังงานแสงอาทิตย์ 448 เมกะวัตต์, SCG ร่วมกับ RATCH ชนะพลังงานแสงอาทิตย์ 338 เมกะวัตต์, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ชนะพลังงานลมมากสุด และเมื่อรวมกับพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 319 เมกะวัตต์
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ 51.12 เมกะวัตต์, TSE 136เมกะวัตต์ และ EA ที่ 90 เมกะวัตต์, GPSC ประมาณ193 เมกะวัตต์ และIRPC ชนะพลังงานแสงอาทิตย์ 74.88 เมกะวัตต์ เป็นต้น
ประมูลรอบ 2 รายใหม่ได้สิทธิขายไฟ
แหล่งข่าวจากผู้ผลิตไฟฟ้า กล่าวว่า ผลการประชุม กพช.มีมติให้ชะลอประกาศการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวเห็นว่าหลักเกณฑ์เงื่อนไข และระเบียบอาจจะกว้างกว่าการประมูลทั่วโลกที่ไม่มีหน่วยงานใดลงลึกรายละเอียดของหลักเกณฑ์ แม้ผู้ยื่นจะยื่นเอกสารเหนือกว่าเงื่อนไขถือเป็นประโยชน์ของรัฐ ดังนั้น ในเรื่องของคดีสำนักงาน กกพ.เองก็คงไม่กลัวอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในการเปิดรับซื้อไฟสะอาดทั้ง 2 รอบ จะมีบริษัทขนาดใหญ่ส่วนมากที่จะชนะ เพราะมีประสบการณ์มี Proposal ถูกต้อง ซึ่งได้มีการทำตามเงื่อนไข และไม่ต้องไป Inside Lobby แต่อย่างใด เพราะเตรียมตัวมาดี ดังนั้น ต่อให้โครงการดีแต่ทำ Proposal ไม่ดีก็ตก เหมือนการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้าเตรียมตัวไม่เป็นก็ขายไม่ออก ถือเป็นพื้นฐาน
ดังนั้น การที่ กกพ. เปิดประมูลรอบแรก 5 พันเมกะวัตต์ พบว่าบริษัทขนาดใหญ่เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกก่อน พอมารอบที่ 2 จะเป็นบริษัทใหม่ที่ไม่ได้รอบแรกหลายราย เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้รับพิจารณาจากรอบแรก จึงจัดอยู่ในกลุ่มอันดับที่ 2 ที่เปิดให้ยื่นข้อเสนอในรอบนี้
“รอบ 2 เป็นการเปิดให้ผู้ที่ยื่นรอบแรก และผ่านคุณสมบัติทางเทคนิคแล้วได้เข้ามามีสิทธิรับการคัดเลือกส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มที่มีการตรวจสอบผ่านคุณสมบัติอันดับ 2 ถือเป็นการกระจายผู้ประกอบการอยู่แล้ว ส่วนรายเล็กส่วนมากก็จะไม่ทำเอง และจะเอาไปขายต่อ”
ห่วงการเมืองแทรกแซงการประมูล
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่มีการทักท้วงของพรรคฝ่ายค้านน่าจะเป็นค่าไฟฟ้ามากกว่า ซึ่งเทียบต่างประเทศเทียบคนละพื้นฐานเพราะหลายโครงการของต่างประเทศไม่เสียค่าที่ดินเพราะรัฐบาลมอบที่ดินให้ดำเนินการ แต่ประเทศไทยจะมีต้นทุนจึงทำให้ราคาสูงกว่า
ทั้งนี้ จากราคาค่าไฟจากโซลาร์ที่ 2.1 บาท จะต่ำเท่าประเทศเพื่อนบ้านระดับ 1.5 - 1.8 บาท เหมือนอินเดียคงไม่ได้ เพราะผลิตโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ระดับ 1 พันเมกะวัตต์
นอกจากนี้ หากราคาถูกลงกว่านี้ เอกชนเองแทบจะไม่ได้อะไร สุดท้ายก็ทำไม่ได้ และทิ้งงาน ยกตัวอย่าง การประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประมูลทิ้งงานหมด เหลือไม่กี่รายที่ทำไม่ได้เพราะราคาถูก
ดังนั้น หากไทยต้องการพลังงานสีเขียวเพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการพลังงานสะอาดและยิ่งต้องมีความมั่นคงด้วยแล้วก็ต้องมีต้นทุนในเรื่องของระบบสำรอง ดังนั้นหากประเทศต้องการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) หรือ UGT จึงต้องมั่นใจว่าบริษัทที่จะเข้ามา จะให้บริการได้ถือก็เป็นเครดิตของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเบรกรับซื้อไฟสะอาดครั้งนี้ จึงมองว่าสาเหตสำคัญคือ การตีรวนทางการเมือง ซึ่งผู้ประมูลรอบแรกก็ยังได้เข้ามาประมูล และยังเปิดโอกาสให้ผู้ผ่านคุณสมบัติลำดับรองได้มากขึ้นด้วย
ดังนั้น หากเปิดประมูลรอบใหม่ และให้ยื่นใหม่ทั้งหมดเชื่อว่าผู้ชนะในรอบแรกก็จะได้ทั้งหมดอีก และครั้งนี้ก็ไม่ต้องตรวจสอบเอกสารมากมาย เพราะผ่านรอบเทคนิคมาแล้วเป็นการกระจายผู้เล่น ซึ่งเท่าที่เห็นตั้งแต่นายพีระพันธุ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ก็อยากจะเป็นผู้จัดทำในทุกโครงการเอง
“กันกุล” ยืนยันไม่กระทบธุรกิจ
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กลุ่มบริษัทย่อยที่ GUNKUL ถือหุ้นทางตรงผ่านบริษัท กันกุล วิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี 9 จำกัด ได้รับคัดเลือก 319 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลม 284 เมกะวัตต์ และโซลาร์กำลังการผลิต 35 เมกะวัตต์ โดยทยอย COD ตั้งแต่ปี 2570-2573
ทั้งนี้ ส่งผลทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มเป็น 1,800 เมกะวัตต์ โดยเป้าหมายของบริษัท ต้องการมีเมกะวัตต์สะสมเพิ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ในปี 2569 ขณะที่โครงการพลังงานหมุนเวียน 832 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และโรงไฟฟ้าวินด์ฟาร์ม ที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ไปก่อนหน้านี้จะทยอย COD ตั้งแต่ปี 2569-2573
อย่างไรก็ตาม จากการชะลอโครงการรับซื้อไฟสะอาดเฟส 2 ของมติ กพช.ไม่กระทบกับแผนธุรกิจบริษัท และคงไม่ไปร้องศาลปกครอง จะเห็นว่าในเฟส 1 กว่า 5 พันเมกะวัตต์ ก็ได้มีการร้องต่อศาลเช่นกัน ก็ไม่ได้กระทบต่อแผนธุรกิจอะไร ซึ่งบริษัท ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ได้สัดส่วนเยอะ
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลของการชะลอได้ระบุชัดเจนว่าเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ดังนั้น ในระยะสั้นก็คงไม่มีอะไร อีกทั้ง โครงการที่บริษัท ได้รับกำหนด COD ปี 2569 - 2572 ถือว่ายังมีเวลา และการตรวจสอบยังอยู่ในกระบวนการ อีกทั้ง ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ซึ่งโครงการมีเกณฑ์ที่ต้องตรวจสอบให้ถูกต้องตามตามกรอบเวลา
“ส่วนการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ตอนนี้อยู่ระหว่างประกาศรายชื่อยังไม่ได้ลงนามสัญญา เรายื่นบริษัทเดียว ซึ่งการจะร่วมกับพาร์ตเนอร์อื่นๆ หรือไม่นั้นก็จะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามขั้นตอนต่อไป”
นางสาวโศภชา กล่าวว่า ด้วยเป้าหมายประเทศไทยเพื่อจะไปก้าวสู่พลังงานสะอาด ลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ Net Zero ปี 2065 จึงจะต้องดำเนินโครงการอีกมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เฟสแรก 5 พันเมกะวัตต์ และเฟส 2 อี่ 3.6 เมกะวัตต์ จะยังต้องมีเฟส 3 และเฟสต่อๆ ไปอีกมาก ซึ่งบริษัท ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลในทุกโครงการ
“ส่วนเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์นั้น ยอมรับว่าเป็นพลังงานที่น่าสนใจ แต่ในช่วงนี้จะให้ความสำคัญตรงนี้ก่อน อนาคตหากนโยบายมีความชัดเจนก็ค่อยตัดสินใจอีกที เพราะมองว่าบริษัทพลังงานใหญ่ๆ ต่างสนใจ และศึกษาเช่นกัน”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์